เทียนหวูเชวโบกมือทีหนึ่ง คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาหุบปากในทันที เห็นเพียงเขากลับหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน แล้วพูดอย่างเรียบนิ่ง: “นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้าด่าข้าเช่นนี้ ข้าชื่นชมในความกล้าหาญของเจ้ามาก ๆ”
เขาดูเป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจ เป็นผู้ส่งสูงตั้งแต่กำเนิดยังไงอย่างนั้น ถูกคนอื่นด่าประจานต่อหน้าสาธารณชนแต่กลับไม่รู้สึกโกรธ ยังคงคุยอย่างมีอารมณ์ขันอยู่
“ข้าด่าเจ้า แต่เจ้ากลับยังชื่นชมข้าอีก ดูท่าเจ้าน่าจะไม่ได้โง่อย่างธรรมดานะ”
หลัวซิวกัดไม่ปล่อย พูดจายั่วยุต่อ
ลักษณะท่าทางที่ดูสุขุมเยือกเย็นในเมื่อกี้นี้ของเทียนหวูเชว ยับเยินหมดสิ้นไปเพราะพลังคำพูดที่ตามมาของหลัวซิว
เขาทำตัวสุขุมเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มีความคิดที่จะฆ่าผุดขึ้นมาในแววตา“วันนี้กูฆ่ามึงแน่!”
“เอาสิ กูจะให้โอกาสมึง สู้ให้ถึงตายเลย กล้าไหม?”หลัวซิวแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะดังลั่น
ในขณะที่พูดจายั่วยุเทียนหวูเชวอยู่นั้น เขาใช้ป้ายบัญชาการตัวตนของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินส่งข่าวแจ้งให้ซุ๋นหวู่หยาและซุ๋นซินเหลียนทราบ ขอเพียงผู้แข็งแกร่งในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินมาถึง ก็ไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของเสี่ยวเจียงหมิงและช่าจื่อเยียนอีกต่อไป
และสาเหตุที่เขายั่วยุเทียนหวูเชวนั้น เป็นเพราะเขาจะหาโอกาสกำจัดคนดังกล่าวทิ้ง เก็บดอกเบี้ยสำหรับการล่มสลายของสำนักเทียนช่ากลับคืนมาหน่อย
เทียนหวูเชวเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในสำนักไร้เจตสิก หากสังหารเขา นี่ต้องเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับสำนักไร้เจตสิกแน่นอน
“มึงจะสู้กับกูให้ถึงตายอย่างนั้นหรือ?”
เทียนหวูเชวโกรธมากจนหลุดหัวเราะออกมา“ในเมื่อมึงอยากตายขนาดนั้น เดี๋ยวกูจะทำให้มึงสมปรารถนาเอง!”
เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวเสนอสู้ให้ถึงตาย สีหน้าอารมณ์ของช่าจื่อเยียนก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากนางเคยได้ยินมาก่อนว่าเทียนหวูเชวผู้นี้ เมื่ออยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสูง แม้แต่เจ้านภายังมิใช่คู่ต่อสู้ของคนดังกล่าว แล้วนับประสาอะไรกับหลัวซิวที่มีผลการฝึกตนอยู่เพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2?
“พี่จื่อเยียนไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะฆ่ามันเอง เพื่อแก้แค้นให้เหล่าศิษย์ในสำนักเทียนช่าที่เสียชีวิตไปแล้ว!”
หลัวซิวก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว พูดเสียงดัง: “อีกสามเดือนภายหน้า ไปตัดสินความเป็นความตายที่สังเวียนสถานประลองยุทธ์!”
สิ้นเสียง หลัวซิวก็หันหลังแล้วเดินจากไป
เทียนหวูเชวไม่ได้สกัดกั้นเขาไว้แต่อย่างใด คนที่อยู่ด้านหลังเขาอยากสกัดกั้นแต่กลับถูกเขายกมือห้ามไว้ก่อน
“แค่สามเดือนเอง ผลการฝึกตนของมันก็อยู่แค่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 ถึงแม้จะโอกาสที่ใหญ่โตเท่าฟ้า มันก็ไม่มีทางกลายเป็นเทพมารได้แน่นอน ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องได้ตายอยู่ในเงื้อมมือข้า”
เทียนหวูเชวหัวเราะอย่างเย็นเยือก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้แต่อย่างใด ก่อนจะเอ่ยปากพูด: “ไปแจ้งให้ผู้อาวุโสสำนักเซียนทราบ แจ้งว่ากากแดนของสำนักเทียนช่าปรากฏตัวอยู่ที่นี่ และมีความเกี่ยวข้องกับสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน”
“ขอรับ!”
ศิษย์ในสำนักไร้เจตสิกหยิบป้ายบัญชาการออกมาในทันที ส่งข่าวแจ้งเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ให้ทางสำนักทราบ
ภายในเมืองแก้วเทวก็มีโรงเตี๊ยมเช่นกัน หลัวซิวหาเจอร้านหนึ่งและเช่าห้องพักสองห้อง
“น้องชาย เจ้าวู่วามมากไปแล้ว”
ช่าจื่อเยียนไปถึงห้องหลัวซิวแล้วพูด: “เทียนหวูเชวแทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในแดนที่ต่ำกว่าเทพมาร ส่วนผลการฝึกตนของเจ้ากลับมีเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 เจ้าจะสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับมัน มันจะต่างอะไรจากการรนหาที่ตายหรือ?”
หลัวซิวอมยิ้ม“ผู้แกร่งกล้าย่อมมีคู่ต่อสู้ที่กล้าแกร่ง ในแดนที่ต่ำกว่าเทพมาร เทียนหวูเชวมันยังไม่มีสิทธิ์ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทาน”
เขารู้อยู่ว่าช่าจื่อเยียนเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงอธิบาย: “ท่านพี่อาจจะยังไม่ทราบ ในความเป็นจริงข้ายับยั้งผลการฝึกตนของข้าไม่ให้บรรลุมาโดยตลอด หากเข้ายินดีละก็ ข้าสามารถบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูงภายในเวลา 3 เดือนได้อย่างไม่มีปัญหา หากสู้โดยที่อยู่แดนเดียวกัน ข้าพิจารณาด้วยตัวเองจนได้ข้อสรุปว่าข้าไม่ด้อยกว่าผู้ใด เทียนหวูเชวมันก็ต้องพ่ายให้ข้า!”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ช่าจื่อเยียนจึงวางใจไปลงได้เล็กน้อย พลางนึกในใจว่าเขาสามารถถ่ายทอดแม้กระทั่งบำเพ็ญพลิกทมิฬให้แก่เสี่ยวเจียงหมิงได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการถ่ายทอดสืบสานที่น้องชายผู้นี้ได้รับนั้นไม่ธรรมดามาก ๆ บางทีเมื่ออยู่ในแดนเดียวกันแล้ว เขาอาจจะมีโอกาสเอาชนะเทียนหวูเชวก็เป็นได้