มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1264
“แฮะ ๆ ปีศาจงูเก้าหัวจากไปแล้ว เช่นนั้นสมบัติที่อยู่บนตัวไอ้หมอนั่นก็ตกเป็นของข้าแล้ว!”เฒ่าประหลาดตวนมู่ไม่ได้ล้มเลิกการไล่ล่าแต่อย่างใด เขาใช้เคล็ดวิชาอย่างหนึ่งทิ้งตราสัญลักษณ์ไว้บนร่างหลัวซิว ถึงแม้เขาจะหนีไปไกลถึงสุดขอบฟ้า ขอเพียงยังอยู่ภายในโลกมาร เช่นนั้นเฒ่าประหลาดตวนมู่ก็จะสัมผัสตำแหน่งที่ตั้งของเขาได้
……
“สลัดทิ้งแล้วหรือ?”
ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไกลหลายแสนไมล์ หลัวซิวหยุดเคลื่อนที่ ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ทำให้มีแสงมันวาวที่ลึกลับล้ำค่าเป็นประกายระยิบระยับอยู่บนปีกเทพมังกรครามยักษ์
เขาพลิกฝ่ามือหยิบแหวนเก็บของที่แย่งมาได้ออกมา มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เมื่อมียาเซียนระดับ 2 สองร้อยเม็ดนี้แล้ว ผลการฝึกตนของเขาก็จะบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 โดยปริยาย
“ข้าต้องรีบเลื่อนขั้นให้บรรลุถึงแดนเทพมารให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เยว่เอ๋อร์และซีโรว่ยังอยู่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน ซึ่งพวกนางอาจจะตกอยู่ในความอันตรายได้ตลอดเวลา!”
การกลายเป็นเทพมาร เป้าหมายหลักที่หลัวซิวมาโลกมารในครั้งนี้ เพื่อยกระดับผลการฝึกตนและศักยภาพของตัวเอง เขาสามารถทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุผล
ทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกตนของเขานั้นเยอะมาก การแสวงหาโอกาสด้วยตัวเองนั้น มันไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร เป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก ๆ
ถึงอย่างไรโลกาอสูรฟ้าก็มีอายุหลายปีอย่างไร้ที่สิ้นสุดแล้ว โอกาสจำนวนมากล้วนถูกผู้อื่นค้นพบไปแล้ว และวิธีที่เขาจะหาทรัพยากรที่เพียงพอต่อความต้องการของตนนั้น ก็มีเพียงการแก่งแย่ง แย่งอาหารมากจากปากเสือ!
“ในโลกแห่งการฝึกยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งคือเจ้า ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะโลกอย่างโลกาอสูรฟ้าที่แม้แต่ปราณทิพย์ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความชั่วร้าย ยิ่งอรรถาธิบายกฎการมีชีวิตรอดได้อย่างถึงอกถึงใจ”
สำหรับยาเซียนระดับ 2 สองร้อยเม็ดที่แก่งแย่งมาได้ในครั้งนี้ หลัวซิวไม่ได้รู้สึกละอายใจอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรจุดประสงค์ของการที่ชนเผ่าปีศาจงูเก้าหัวเอายาเซียนทั้งหมดนี้ออกมานั้น ก็เพื่อจัดการตัวเอง
“ฮ่า ๆ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เหตุใดเจ้าถึงไม่หนีต่อแล้วเล่า?”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นดังมาจากอากาศที่ว่างเปล่า เงาร่างของเฒ่าประหลาดตวนมู่ค่อย ๆ ปรากฏ ใบหน้าที่แก่เฒ่ามีรอยเหี่ยวย่นปกคลุมอย่างแน่นหนา ดวงตาดุจอสรพิษ
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวเข้มงวดขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองสลัดเทพฟ้าสองคนนี้ทิ้งแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็ไล่ตามตัวเองจนทันอยู่ดี
แต่ทว่าในเวลานี้เอง หลัวซิวกลับสัมผัสไม่ได้ถึงออร่าของเทพฟ้าคนนั้นจากเผ่าปีศาจงูเก้าหัว หรือว่า……มีเพียงไอ้เฒ่าประหลาดตวนมู่นี่ไล่ตามมาคนเดียว?
“จุ๊ ๆ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเจ้าคงกำลังสงสัยอยู่สินะว่าเหตุใดทั้ง ๆ ที่เจ้าสลัดข้าทิ้งแล้ว แต่ข้าถึงยังตามสะกดกลิ่นอายออร่าของเจ้ามาได้อีก?”
เฒ่าประหลาดตวนมู่หยี่ตาลงจนเป็นเส้นตรง แสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางพูด: “อุบายของข้าเป็นสิ่งที่คนโง่เง่าอย่างเผ่าปีศาจงูเก้าหัวจะเทียบเคียงได้หรือ? ข้าใช้เคล็ดวิชาทิ้งรอยตราประทับไว้บนตัวเจ้า ถึงแม้เจ้าจะหลบหนีไปถึงสุดขอบฟ้า ข้าก็สามารถลากตัวเจ้าออกมาได้ทุกเวลา!”
“เจ้าหมายความว่ามีเพียงเจ้าผู้เดียวอย่างนั้นหรือ?”มุมปากของหลัวซิวค่อยน ๆ ยกขึ้น
“ทำไม? หรือว่าข้าผู้เดียวยังไม่สามารถกำราบเจ้าได้? หากมีไอ้ปีศาจเก้าเซียวจื่อเจี้ยนนั่นอยู่ข้างกายเจ้าละก็ ข้าอาจจะต้องเกรงกลัวหน่อย แต่ทว่าเจ้าเป็นเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์กระจอก ๆ ข้าใช้ลมปากเป่าเพียงหนเดียว ก็สามารถบดขยี้เจ้าให้แหลกเป็นฝุ่นได้แล้ว”เฒ่าประหลาดตวนมู่ดูหมิ่นพลางยิ้มอย่างเย็นเยือก
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีออร่าของผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าปลดปล่อยออกมารอบกายเขา เขาดูเหมือนเหยียดหยามหลัวซิวอย่างมาก แต่ทว่าในฐานะที่เป็นนักยุทธ์โลกมาร เคยประสบพบเจอกับการเข่นฆ่าแก่งแย่งมาตั้งเท่าไหร่ถึงจะบรรลุขึ้นมาถึงแดนในปัจจุบันได้ เขาจึงไม่มีทางดูถูกคู่ต่อสู้ทุกคนของตนอย่างแท้จริงอยู่แล้ว
เสือที่ล่ากระต่ายยังต้องทุ่มเทสุดกำลัง มิหนำซ้ำศักยภาพของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ยังไม่ธรรมดาด้วย ทันทีที่ลงมือ ก็ต้องใช้พลังอำนาจที่รุนแรงปานสายฟ้าเพื่อสังหารเขา!
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็ตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน ถึงแม้เขาจะคิดว่าศักยภาพของตัวเองเพียงพอที่จะสู้กับเทพฟ้าได้ แต่จะต้านทานได้ถึงระดับใดนั้น เขาก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก