มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1349
“เจ้าชื่อหลัวซิวสินะ?”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะเดินเข้าไปในค่ายวาร์ปอยู่นั้น เสียงเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาในหูเขากะทันหัน
เขามองไปทางต้นตอของเสียง ก่อนจะเห็นว่าหวางยู่ซวนกำลังเพ่งมองมาทางตัวเองด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร คนที่เดินตามอยู่รอบกายเขายังมีพวกสวีชิงซานด้วย
“มีเรื่องอะไรหรือ?”หลัวซิวถามอย่างเรียบนิ่ง
“การฝึกปรือในฐานหยินหยางเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น การประเมินกฎเบญจธาตุเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป!”หวางยู่ซวนแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด
ดีใจเร็วเกินไป?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกในทันที เขาเคยแสดงความดีใจออกมาตั้งแต่เมื่อใด?
แต่ทว่าเขาก็พอจะเดาได้อยู่ว่าเหตุใดหวางยู่ซวนถึงมีเจตนาร้ายต่อตนมากขนาดนี้ ทุกอย่างก็เป็นเพราะตนแย่งชิงความเด่นของเขาตอนประเมินกฎเบญจธาตุเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้หลัวซิวจึงเบื่อที่จะสนใจฝ่ายตรงข้าม เขาไม่ได้มาผูกความโกรธแค้นกับผู้อื่นที่นี่ แต่มาเพื่อปรับแก้หมื่นจักรวาลไร้รูปของตัวเองให้สมบูรณ์มากขึ้น
การเวียนว่ายตายเกิด ห้วงเวลา เบญจธาตุ หยินหยาง ตรีภพ อัสนีวาโย ล้วนเป็นรากฐานกฎของธรรมฟ้าดิน กฎแขนงย่อยต่าง ๆ อีกมากมาย ก็กำเนิดมาจากกฎพื้นฐานเหล่านี้เช่นกัน
หากหลัวซิวอยากพัฒนาหมื่นจักรวาลไร้รูปของตัวเองให้สมบูรณ์แบบถึงขั้นสุด เขาก็ต้องยึดกุมความเร้นลับทั้งหมดของกฎพื้นฐานเหล่านั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ เขาจึงไม่สนใจแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยยั่วยุและเจตนาร้ายของหวางยู่ซวน ก่อนจะย่างเท้าเดินเข้าไปในค่ายวาร์ป
“ศิษย์พี่หวัง ไอ้หมอนั่นมันไร้มารยาทเกินไปแล้ว!”
“นั่นแหละ ศิษย์พี่หวังพูดกับมันอยู่ แต่มันถึงกับหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างนั้นหรือ คิดว่าตัวเองเป็นบุคคลสำคัญจริง ๆ สินะ?”
ผู้คนที่อยู่ข้างกายหวางยู่ซวนต่างพูดอย่างไม่พอใจ
“การฝึกปรือในฐานหยินหยางยังมีการประเมินอีกมากมาย ข้าจะทำให้มันได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือเมฆยังมีเมฆ!”หวางยู่ซวนทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น ก่อนที่เขาจะรีบเดินเข้าไปในค่ายวาร์ปเช่นกัน
ขั้นตอนการวาร์ปผ่านไปเร็วมาก ๆ หลัวซิวปรากฏอยู่บนค่ายวาร์ปอีกค่ายหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งอย่างรวดเร็ว บัดนี้เขากำลังยืนอยู่ในตำหนักสง่างามที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ผู้อาวุโสในชุดคลุมหยินหยางได้มารออยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว ข้างกายเขามีชายหนุ่มเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
บนใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นมีรอยยิ้มจาง ๆ ใบหน้าหล่อเหลา อยู่ในชุดคลุมยาวสีขาวทั้งตัว ทำให้คนมองรู้สึกดุจดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ
หลัวซิวพบว่าเสี้ยววินาทีที่คนส่วนมากพบเห็นชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาวนั่น พวกเขาต่างแสดงสีหน้าอิจฉา ริษยาและเกรงกลัวออกมาพร้อมกัน
ถัดจากหลัวซิว พวกหวางยู่ซวนก็ปรากฏอยู่บนค่ายวาร์ปเช่นกัน ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มองเห็นชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาวที่ยืนอยู่ข้างกายผู้อาวุโสชุดคลุมหยินหยางแล้ว
“หยุนจื่อซู?”
รูม่านตาของหวางยู่ซวนหดลง สีหน้าท่าทางของสวีชิงซานที่ยืนอยู่ข้างกายเขา พร้อมกับชายหนุ่มแซ่โกวและคนอื่น ๆ ก็ต่างผงะไปชั่วขณะเช่นกัน
“เหอะ ๆ ศิษย์น้องหวัง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ได้ยินมาว่าเจ้ายึดกุมกฎเบญจธาตุดั้งเดิมแล้ว ภายในเวลา 10 นี้เจ้าต้องกลายเป็นเทพมารอย่างแน่นอน ยินดีด้วยนะ”
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาวมองเห็นหวางยู่ซวน เขาจึงอมยิ้มพลางพูด
สีหน้าของหวางยู่ซวนดูย่ำแย่เล็กน้อย ในบรรดาศิษย์สนิททั้งหมดของผู้อาวุโส พรสวรรค์และสติปัญญาของเขานับว่าอยู่ระดับขั้นสุดยอดเลย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหยุนจื่อซูที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เขากลับรู้อยู่แก่ใจว่าทั้งสองไม่ได้แตกต่างกันเพียงนิดเดียวเท่านั้น
เนื่องจากหยุนจื่อซูผู้นี้ คือศิษย์สนิทของเจ้าอาจารย์สำนักหยินหยาง!
สำนักหยินหยางที่อยู่ในสรรพมหาโลกามิใช่แดนศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด แต่ก็เป็นกองกำลังใหญ่ขั้นสุดยอดที่เป็นรองเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เจ้าอาจารย์ของสำนักคือผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งมกุฎเทพ
กึ่งมกุฎเทพคนหนึ่ง อย่างน้อยอายุไขก็อยู่ที่สองถึงสามล้านปี ชั่วชีวิตนี้ศิษย์ที่รับก็มีน้อยมาก ๆ แต่ทว่าศิษย์ทุกคนล้วนเป็นผู้มากพรสวรรค์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้
หยุนจื่อซูเป็นศิษย์คนที่สี่ของเจ้าสำนักสำนักหยินหยางอายุกระดูกไม่ถึง 60 ปี แต่กลับผนึกรวมช่องจิตออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารที่ได้รับการยอมรับจากกฎดั้งเดิมด้วย!
เมื่อเปรียบเทียบเทพมารอายุ 50 กว่ากับอัจฉริยะที่เป็นเทพมารได้ภายในร้อยปี ช่วงระยะความต่างนี้เป็นอย่างไรแค่คิดก็พอจะทราบแล้ว!
หลัวซิวได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบ ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางหยุนจื่อซูอย่างสงสัยเช่นกัน พลางเดาะลิ้นแล้วชื่นชมความยอดเยี่ยมของเขาอยู่ในใจ