ณ โลกแสงดาวเกณฑ์กฎ เงาร่างของหลัวซิวทะลุผ่านมาไปอยู่ในพิภพนี้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงเทพมารแล้ว พูดได้เลยว่าในพิภพต่ำไม่มีทางมีผู้ที่เป็นภัยคุกคามต่อตนคงอยู่ได้เลยด้วยซ้ำ
มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพหรือมกุฎเทพ เมื่อมาถึงพิภพต่ำก็จะถูกกดอัดลงมาที่ระดับกึ่งเทพฟ้า และคนเหล่านั้นก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของตนอย่างแน่นอน
มหาจักรพรรดิยุทธ์และเทพมารเป็นเหมือนสันปันน้ำที่กว้างใหญ่มาก ๆ ครั้นเมื่ออยู่ในมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 หากหลัวซิวระเบิดศักยภาพทั้งหมดออกมา เขาสามารถเทียบทัดกับเทพฟ้าช่วงปลายได้ มากกว่านั้นคือเขาสามารถต่อกรกับเจ้านภาธรรมดาทั่วไปโดยตรงได้ด้วย
และปัจจุบันผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงเทพมารแล้ว อีกทั้งตัวสำนึกและร่างยุทธ์ต่างทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์ไปแล้ว บรรลุถึงระดับเทพฟ้า กำลังรบโดยรวมของเขาสามารถเทียบเคียงกับเจ้านภาแท้จริงได้แล้ว
ในส่วนลึกที่ลึกที่สุดของโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ มีปริภูมิที่บิดเบี้ยวที่หนึ่ง เขตพื้นที่ ณ บริเวณดังกล่าวกว้างใหญ่มาก ๆ เหมือนดั่งผิวน้ำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคลื่นเล็ก ๆ คลื่นพลังปริภูมิรุนแรงอย่างมาก
จากการเหนี่ยวนำของตราชีวีดั้งเดิม หลัวซิวสามารถยืนยันได้ว่าออร่าตราชีวีของเทพฟ้าซิงหยูส่งตรงมาจากที่นี่
ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามของโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ หากผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารบุกรุกเข้ามาภายในนี้ ก็ไม่สามารถต้านทานพลังอันน่าสยดสยองในปริภูมิที่บิดเบี้ยวนี้ได้เช่นกัน
เงาร่างของหลัวซิวหยุดชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น จากนั้นเขาก็ย่างเท้าเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เสี้ยววินาทีที่ร่างกายของเขาและปริภูมิที่บิดเบี้ยวสัมผัสเข้าด้วยกัน ร่างกายของเขาก็ถึงกับบิดเบี้ยวไปด้วย
วิถีโคจรและขนาดของความบิดเบี้ยวบนร่างกายเขา เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับปริภูมิที่บิดเบี้ยวของที่นี่ ซึ่งนี่เป็นวิธีการใช้สอยกฎปริภูมิอย่างหนึ่ง
เมื่อผู้ที่ไม่เข้าใจกฎปริภูมิมาถึงที่แห่งนี้ ทุกย่างก้าวต้องลำบากมากอย่างแน่นอน ต้องอาศัยผลการฝึกตนหรือร่างเนื้อที่เกะกะระรานมาต้านทานพลังการฉุดรั้งของปริภูมิที่บิดเบี้ยว แต่ทว่าหากเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านกฎปริภูมิละก็ ทุกอย่างก็จะเหมือนกระดี่ได้น้ำ
จากการเข้าไปยังส่วนลึกของปริภูมิที่บิดเบี้ยวแห่งนี้ เขตปริภูมิที่ปรากฏตรงหน้ากลับไม่เพียงแค่บิดเบี้ยวอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว แต่เป็นปริภูมิอันว่างเปล่าที่แตกละเอียดเป็นชิ้น ๆ ดังกระจกที่แตกสลาย
ขนาดของเศษปริภูมิที่แตกสลายนั่นแตกต่างกันออกไป ช่องว่างระหว่างเศษปริภูมิแต่ละชิ้นก็คือร่องรอยปริภูมินั่นเอง ซึ่งพลังจากการที่ปริภูมิแตกร้าวนั้น เป็นพลังที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งอย่างได้
แดนกฎดั้งเดิมขั้นที่ 10 ปริภูมิที่บิดเบี้ยวคือขั้น 1 ส่วนรอยร้าวปริภูมินั้นก็คือขั้น 2 ซึ่งมีเพียงเทพฟ้าเท่านั้นที่สามารถยึดกุมแดนกฎดั้งเดิมขั้น 2
รอยร้าวปริภูมิประเภทนี้ พูดได้เลยว่าแตกต่างจากรอยร้าวที่นักยุทธ์โจมตีปริภูมิจนแตกร้าวโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามหลัวซิวก็ยังคงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอยู่เช่นเคย เงาร่างของเขาไม่หยุดลงเลยแม้แต่ก้าวเดียว มุ่งหน้าเดินตรงเข้าไปในเขตพื้นที่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยรอยร้าวปริภูมินั่น
เขาเดินผ่านช่องว่างระหว่างเศษปริภูมิที่แตกหักสองชิ้นอย่างสุขุมเรียบนิ่ง พลังอันน่าสยดสยองที่สามารถทำให้นักยุทธ์เทพมารสลายสูญเสีย กลับไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
ร่างเนื้อของเขาผ่านการชุบมานานมาก ๆ แล้ว ครั้นเมื่อยังเป็นเทพมารขั้นสูง ร่างเนื้อเขาก็สามารถเทียบเคียงกับผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างเทพฟ้าช่วงปลายแล้ว ปัจจุบันหลังจากที่ผ่านการขัดเกลาจากทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ ร่างเนื้อของเขายิ่งบรรลุถึงแดนเทพฟ้า ซึ่งสามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างระดับเจ้านภาแล้ว
ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่า แค่อาศัยระดับความแข็งแรงของร่างเนื้อ หลัวซิวก็สามารถต้านทานพลังโจมตีจากอัญเทพฟ้าได้แล้ว ร่างเนื้อเช่นนี้ มันช่างน่ากลัวเท่าไหร่กันนะ?
ผ่านไปไม่นานนัก หลัวซิวก็ข้ามผ่านเขตพื้นที่บริเวณนี้ไป ในสายตาเขามีกลุ่มแสงที่แวววาวจับตาปรากฏตรงหน้า
ซึ่งเหมือนกมลโลกาที่พบเห็น ณ ส่วนที่ลึกที่สุดในเหวมรณะในโลกาอสูรฟ้าทุกประการ แต่ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันคือ ปริมาตรของกมลโลกาใบนี้เล็กกว่าหนึ่งรอบวง รังสีที่เปล่งออกมาก็ค่อนข้างหม่นหมองเล็กน้อย
กมลโลกาชั้นล่าง!
จากผลการฝึกตนของแดนเทพฟ้าควบคู่กับเคล็ดวิชาพิเศษ สามารถนำตราชีวีของตัวเองผสมเข้ากับกมลโลกา และบุกเบิกพิภพหนึ่งขึ้นมา คอยโอกาสยึดครองร่าง เพื่อได้รับการกำเนิดใหม่เก้าครั้ง!
แดนปัจจุบันของหลัวซิวอยู่ในระดับเทพมารแล้ว ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าหากเขาได้รับกมลโลกาใบนี้ เขาก็มีความสามารถในการบุกเบิกพิภพหนึ่งเช่นกัน