มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1477
ในห้วงดาราที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต อสูรดูดจิตโบราณกำลังบินตรงไปยังทิศทางของเมืองฟ้าเยือก
หลัวซิวเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง ยืนอยู่บนศีรษะอสูรโบราณพลางตรวจสอบร่างกายตน
หลังฝึกเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าจนสำเร็จแล้ว ผลการฝึกตนของเขาก็บรรลุถึงเทพมารขั้น 3 เพราะความพิเศษของวรยุทธ์นี้ อยู่ที่ดาราชีวีที่ผนึกรวมอยู่ในจุดตันเถียน มันสามารถดึงดูดพลังจากดาราจักรวาลมาใช้ได้อย่างไม่หยุดหย่อน
แม้ผลการฝึกตนไม่สูง ทว่าในขณะเดียวกันมันก็เป็นเพราะความพิเศษของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าเช่นกัน รวมถึงเขาฝึกกฎการเวียนว่ายตายเกิดทั้งสองกฎถึงแดนดั้งเดิมขั้น 2 แล้วด้วย ในความเป็นจริงกฎพลังเทพที่เขาสามารถหมุนเวียนใช้นั้น สามารถเทียบเคียงกับเจ้านภาแล้ว
ต่อมาคือร่างเนื้อของเขา หลังจากผนึกรวมโลกาจุดลมปราณที่ 2 ขึ้นมาได้ ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาก็ยังคงอยู่เทพฟ้าขั้น 1 เช่นเคย บวกกับเขาฝึกวิชาบรรพเทพโลหิต มีการปลุกเสกจากพลังสายเลือด พลังร่างเนื้อที่แท้จริงของเขาสามารถเทียบเคียงกับผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างระดับกึ่งราชาเทพ
อีกทั้งตัวสำนักวิญญาณของเขาก็สามารถเทียบเคียงกับเจ้านภาได้เช่นกัน
แต่ทว่าจากทั้งสามด้านใหญ่ ๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใด เขาก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับราชาเทพได้
ดาราชีวีทั้ง 18 ดวงที่จ้าวมหาเทพแสงดาวทิ้งไว้มีพลานุภาพที่มากมายมหาศาลจนมิอาจคาดเดาได้แฝงซ่อนอยู่ แต่จากผลการฝึกตนในปัจจุบันของเขา พลานุภาพที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมากลับน้อยนิดมาก สามารถบดขยี้กึ่งราชาเทพได้อย่างง่ายดาย แต่หากจะนำมันมาต่อกรกับราชาเทพละก็ พลังแค่นี้ก็จะน้อยนิดมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย
หลัวซิวไม่กล้าดูถูกราชาเทพเลยแม้แต่น้อย ครั้นนั้นที่เขาสามารถสังหารซือถูเจิ้งเจี้ยนได้นั้นก็เป็นเพราะอาศัยกฎเกณฑ์การกดอัดในพิภพ แต่ทว่าเมื่ออยู่ในห้วงดารากลับไม่มีกฎเกณฑ์การกดอัดของพิภพใด ๆ คงอยู่
เมื่อแดนยุทธ์ยิ่งถึงช่วงหลัง ๆ ระยะความต่างของแต่ละแดนก็จะยิ่งแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะช่วงระยะความต่างในแดนใหญ่ ยิ่งแตกต่างกันราวกับอ่าวใหญ่ที่แทบจะไม่มีทางก้าวข้ามผ่านได้เลย
หลัวซิวที่อยู่ในแดนเทพมารสามารถก้าวข้ามแดนกวาดล้างแดนแห่งเทพฟ้า แค่นี้ก็ถือเป็นปีศาจผู้เก่งกาจที่ทำลายกฎธรรมชาติไปแล้ว การที่จะต่อกรกับราชาเทพด้วยผลการฝึกตนแดนเทพมารนั้น ถึงแม้วรยุทธ์ที่เขาฝึกจะแข็งแกร่งมากเพียงใด มีสมบัตินักยุทธ์ที่ทรงพลังมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถนำมามันต่อกรกับราชาเทพได้
ถึงวรยุทธ์จะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ก็ต้องมีผลการฝึกตนที่เพียงพอเพื่อดึงข้อดีของวรยุทธ์ออกมา และแม้สมบัตินักยุทธ์จะทรงพลังมากเท่าไหร่ ก็ต้องมีผลการฝึกตนที่เพียงพอเพื่อมากระตุ้นควบคุมมันเช่นกัน และนี่คือกฎเกณฑ์ตายตัวที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงบนเส้นทางการฝึกยุทธ์
ถึงแม้จะเข้าใจดีมาก ๆ ว่าศักยภาพของตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชาเทพ แต่ทว่าความปรารถนาที่จะสู้ในใจหลัวซิวก็ยังฮึกเหิมมาก เขาอยากประลองกับราชาเทพสักตั้ง ดูซิว่าช่วงระยะความต่างระหว่างตนกับราชาเทพนั้นมันจะเท่าใดกันเชียว
สิ่งที่หลัวซิวพิจารณาเป็นอย่างแรกคือ หากตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้เฟิง ตนมีศักยภาพที่จะหนีเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?
สำหรับคำถามนี้ เขาคิดพิจารณาอยู่นานมาก แต่ทว่าสุดท้ายคำตอบที่ได้คือ ไม่ได้
พูดได้เลยว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของปีกเทพมังกรครามยักษ์ไร้มลทินในแดนเทพฟ้านั้นทรงอำนาจมาก แต่ในสายตาของราชาเทพมันกลับไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย ฝ่ายตรงข้ามไม่จำเป็นต้องอาศัยสมบัติใด ๆ แค่อาศัยความเร็วในการบินของตน ก็รวดเร็วกว่าปีกเทพมังกรครามยักษ์ไร้มลทินมากแล้ว
นอกเสียจากว่าปีกเทพมังกรครามยักษ์ไร้มลทิลของเขาจะเกิดการวิวัฒนาการอีกครั้ง กลายเป็นสมบัติระดับราชาแห่งศัสตราวุธ
“หากข้าไม่มีวิธีเอาตัวรอดแล้วปะทะกับจี้เฟิงเช่นนี้ละก็ มันจะไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย”
หลัวซิวค่อย ๆ ขมวดคิ้วลง ถึงแม้เขาจะอยากประจัญบานกับผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพโดยตรงหนึ่งครั้ง แต่เขาก็จะไม่เอาชีวิตของตัวเองไปล้อเล่นเช่นกัน
และในตอนนี้เองสีหน้าท่าทางของหลัวซิวก็ดูตะลึง เขามองเห็นเขตพื้นที่สีเทาน้ำตาลแห่งหนึ่งในส่วนลึกของห้วงดาราอันไกลโพ้น
นั่นคือเขตดาวเคราะห์ขนาดเล็กเขตหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ที่มีดวงดาวนับร้อยดวงรวมตัวกันนั้น เป็นเหตุการณ์ที่พบเจอได้ค่อนข้างยากในห้วงดารา เขตพื้นที่ดังกล่าวมีการบันทึกในม้วงหยกที่หลัวซิวได้รับมาอยู่ ที่นี่คือเขตต้องห้ามความตายแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ดาราฟ้าเยือก
ดวงดาวนับร้อยดวงนั่นล้วนเป็นดาวมรณะ จึงส่งผลให้เขตพื้นที่บริเวณนี้มีชี่มรณะที่เข้มข้นปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี อีกทั้งบริเวณนี้ยังมีแรงโจมตีประเภททอร์นาโดมรณะและอัสนีมรณะ
ผนึกรวมอยู่ด้วย