เคล็ดแสงดาวเทียนเต้า ไม่ฝึกร่างเนื้อ ไม่ฝึกกฎ ฝึกเพียงเวทย์เพื่อผนึกรวมดาราชีวี
เมื่อเวทย์และผลการฝึกตนเกะกะระรานถึงขีดสุดแล้ว ก็จะเกิดการแปรเปลี่ยน สามารถข่มนักยุทธ์กลั่นร่างที่มีร่างเนื้อเกะกะระราน และสามารถข่มอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานที่แดนกฎสูงอย่างลึกซึ้งได้เช่นกัน
ส่วนกฎฟ้าดินและการกลั่นร่างเนื้อนั้น หากเกะกะระรานถึงแดนขีดสุดแล้ว ก็สามารถข่มผู้อื่นได้เช่นกัน
วิถีการฝึกตนทั้งสามประเภทนี้ เป็นทิศทางใหญ่ ๆ บนวิถียุทธ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของสามประเภทสุดขีด
“ดาราจักรวาล ณ ปัจจุบัน จะเน้นฝึกกฎฟ้าดินเป็นหลัก และหมายความว่าเมื่อถึงแดนเทพมารเป็นต้นไปจะยึดแดนกฎเป็นเจ้า การที่ราชาเทพสามารถกดอัดเทพฟ้าได้นั้น เป็นเพราะเขาอาศัยกฎดั้งเดิมขั้น 4 นั่นเอง”
“แดนกฎของข้าแตกต่างจากราชาเทพมากโข แต่ถ้าเกิดผนึกรวมดวงดาวทั้ง 36 ดวงออกมาได้ ก็จะสามารถรับมือกับราชาเทพ หรือสยบราชาเทพได้เลย!”
ความคิดทั้งหมดทั้งมวลกระพริบผ่านไปหายไปในสมอง แม้จะเป็นแรงบันดาลใจที่ผุดขึ้นมาเพียงแวบเดียว แต่กลับสามารถทำให้เขายึดกุมทิศทางการฝึกในอนาคตได้อย่างรางเลือน
“การตระหนักรู้ในแดนกฎต้องใช้การตกตะกอนของเวลาและการตรัสรู้ในโอกาส แต่เคล็ดแสงดาวเทียนเต้าและเคล็ดวิชาจุดลมปราณกลับแตกต่างกัน ขอเพียงมีทรัพยากรและสมุนไพรเพิ่มพลังที่เพียงพอ ก็จะสามารถฝึกสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว!”
ใช้ผลการฝึกตนทั้งหมดกระตุ้นพลังการโจมตีสองครั้งของดวงดาวโบราณจ้าวมหาเทพ พลานุภาพของทุกการโจมตีล้วนสามารถเทียบทัดกับการโจมตีของราชาเทพ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ราชาเทพขั้น 1 อย่างจี้เฟิงได้รับบาดเจ็บ ทว่ากลับไม่สามารถสังหารเขาได้
อีกทั้งจี้เฟิงเป็นผู้ที่ฝึกกฎธาตุไม้เป็นหลัก ใช้กฎธาตุไม้เปลี่ยนแปลงพลังชีวิต มันไม่ประณีตสวยวิจิตรดั่งกฎชีวิต ทว่าจุดที่อยู่เหนือกว่าของจี้เฟิงคือแดนกฎดั้งเดิมของเขาที่บรรลุถึงขั้น 4 แล้ว ทำให้บาดแผลเขาฟื้นฟูเร็วมาก ๆ ด้วยเหตุนี้หลังจากต้านรับสองการโจมตีจากดวงดาวโบราณจ้าวมหาเทพแล้ว เขาก็แค่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่ร้ายแรงมากนัก
จากนั้นหลัวซิวก็ถือโอกาศหยิบยาหนึ่งกำออกมาจากแหวนเก็บของแล้วยัดเข้าปาก ปีกเทพมังกรครามยักษ์ที่อยู่ด้านหลังหลัวซิวปรากฏ ภายใต้การสั่นกระพือ เขาก็บินตรงไปทางเมืองเทวะดาราอุดรอย่างรวดเร็ว
จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของเขา สิ่งที่สามารถทำให้เขายกระดับผลการฝึกตนของตัวเองได้นั้นมีเพียงยาเซียนระดับ 4 เป็นต้นไป ด้วยเหตุนี้ยาจำนวนมากที่อยู่ในมือเขา กลับสามารถใช้เพื่อฟื้นฟูผลการฝึกตนที่สูญเสียไปได้เท่านั้น
เขาอยู่ไม่ไกลจากเมืองเทวะดาราอุดรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จากความเร็วในการเคลื่อนที่ของปีกเทพมังกรครามยักษ์ ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียวเขาก็บินไปถึงหน้าประตูเมืองเป็นที่เรียบร้อย
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมืองไม่กล้าขัดขวาง ต่างถอยกลับไปอย่างเคารพนอบน้อม เนื่องจากพวกเขาต่างเข้าใจดีมาก ๆ ว่าผู้ที่สามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งราชาเทพคนหนึ่งโดยตรงได้นั้น ไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาสามารถรุกรานได้อย่างแน่นอน
บนนภาสูง มีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมาจากทั่วทั้งร่างจี้เฟิง ใบหน้าของเขาหม่นหมองถึงขีดสุด เขาไม่นึกเลยว่าหลัวซิวจะมีวิธีทำให้ตนบาดเจ็บได้ ยิ่งกว่านั้นคือหลัวซิวยังสามารถใช้วิธีการเช่นนั้นได้สองครั้งด้วย
ระยะความต่างระหว่างเทพมารและราชาเทพนั้นต่างกันมากเพียงใด มันเปรียบเสมือนมดกับช้าง การที่ช้างตัวหนึ่งถูกมดทำร้ายจนบาดเจ็บนั้น มันไม่ได้มีเพียงความโกรธเกรี้ยวอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีความอัปยศอดสูด้วย!
“หากไม่ฆ่าเจ้า ข้าสาบานว่าจะไม่เป็นมนุษย์อีกต่อไป!”
ตัวสำนึกของเขาผนึกไว้ที่หลัวซิวที่กำลังหลบหนีเข้าไปในเมืองเทวะดาราอุดร กวัดแกว่งกระบี่เทพที่อยู่ในมือ ปราณกระบี่สีเขียวที่ยาวสิบไมล์ฟันสับออกไป
เนื่องจากอยู่ในอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง จี้เฟิงลืมไปแล้วว่าภายในเมืองเทวะดาราอุดรแห่งนี้ ยังมีราชาเทพอีกคนหนึ่งคอยปกปักรักษาอยู่
“หึ!”
ในขณะที่ปราณกระบี่สีเขียวจวนจะถึงเมืองเทพอยู่นั้น เสียงหึอันเยือกเย็นก็ดังมาจากมุมใดมุมหนึ่งในเมืองเทพ ถัดจากนั้นหนึ่งในดวงดาวทั้งเจ็ดที่ลอยอยู่เหนือนภาเมืองเทพก็ลอยขึ้นกะทันหัน
เสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งพื้นปฐพีดังก้องอยู่เหนือนภาเมืองเทพ ปราณกระบี่สีเขียวที่ยาวกว่าสิบไมล์ถูกดวงดาวพุ่งชนจนแตกสลาย ก่อนที่จะมีใบหน้าของคนคนหนึ่งปรากฏบนดวงดาวดวงนั้น แล้วจ้องเขม็งมาทางจี้เฟิงอย่างเย็นเยือก
“เจ้าจะฆ่าคน ข้ามิห้ามเจ้า ทว่าเจ้ากลับจะทำลายเมืองเทพของข้า สมควรตาย!”
ใบหน้าที่อยู่บนดวงดาวเอ่ยปากพูดอย่างเยือกเย็น ถัดจากนั้นดวงดาวดังกล่าวก็ปรวนแปรจนกลายเป็นมือใหญ่หนึ่งข้าง ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่และแผ่คลุมเงาร่างจี้เฟิงเอาไว้