“ร่างเนื้อระดับกึ่งราชาเทพ?”
สีหน้าของมู่หมิงเปลี่ยนไป จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าศักยภาพที่แท้จริงของหลัวซิวผู้นี้อยู่ระดับใดกันแน่ ดูเหมือนเรื่องทุกอย่างจะอยู่เหนือการคาดหมายของเขายังไงอย่างนั้น
สำหรับความเข้าใจของเขาที่มีต่อหลัวซิวนั้น ล้วนมาจากการบรรยายของจี้เฟิง แต่ในความเป็นจริงตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ศักยภาพของหลัวซิวแข็งแกร่งขึ้นเยอะมาก
“เวิง!”
มีสมบัติคุ้มกันบินออกมาจากกลางหว่างคิ้วมู่หมิง ต้านทานการสังหารจากร่างเนื้อที่แข็งแกร่งของหลัวซิวเอาไว้
สมบัติคุ้มกันชิ้นนี้เป็นอัญเทพฟ้า ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้การโจมตีจากหอกยุทธ์มังกรดำในมือหลัวซิว มันต้านทานได้เพียงชั่วขณะเท่านั้นก็มีท่าทีที่ใกล้จะพังทลายแล้ว
“ทลายซะ!”
โคจรพลังแปรเสวียนเทียน ภายใต้กำลังรบที่เพิ่มขึ้นร้อยเท่า ร่างหลัวซิวรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับหอก ทลายเกราะป้องกันของสมบัติชิ้นนั้นจนแตกสลาย แสงหอกทะลวงห้วงอากาศที่ว่างเปล่า และพุ่งแทงตรงเข้าไปกลางหว่างคิ้วมู่หมิง
สีหน้าท่าทางของมู่หมิงเปลี่ยนไปมาก เงาร่างของเขาหายวับไปกะทันหัน กลายเป็นหมอกดำกลุ่มก้อนหนึ่ง ถัดจากนั้นรูปร่างของเขาก็ได้ผนึกรวมกันตรงตำแหน่งที่ห่างออกไปไกลสามร้อยกว่าเมตร ปรากฏตัวใหม่อีกครั้ง
การโจมตีหอกของหลัวซิวล้มเหลว ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงบนวิถีโบราณดารากาล จากนั้นเขาก็กระโดดลอยขึ้นฟ้าอีกครั้งแล้วแทงหอกยุทธ์มังกรดำออกไปอย่างดุดัน
“หยุดการโจมตีได้หรือไม่? มีอะไรเราค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก่อน”มู่หมิงอกสั่นขวัญหายเล็กน้อย เขานึกไม่ถึงเลยว่ากำลังรบของหลัวซิวผู้นี้จะเกะกะระรานได้ถึงขั้นนี้ และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าคือ คนดังกล่าวหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์การกดอัดในแดนปริศนามกุฎเทพได้อย่างไร
เท่าที่เขาทราบมาครั้นเมื่อหลัวซิวผู้นี้ออกจากโลกเสวียนเทียน ผลการฝึกตนของเขาอยู่เพียงเทพมารเท่านั้น ต่อมาเมื่อดูจากศักยภาพที่เขาแสดงออกมาครั้นเมื่ออยู่ในเมืองฟ้าเยือก จัดอยู่ในระดับกึ่งราชาเทพ
ซึ่งสำหรับราชาเทพแล้ว ศักยภาพเช่นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากนัก เสี้ยววินาทีที่เข้ามาในแดนปริศนามกุฎเทพ ก็จะถูกกดอัดลงไปที่ระดับเทพมารอย่างไร้ความพะวง
เนื่องจากมกุฎเทพดาราอุดรก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งสายจ่างเทียนเต้าเช่นกัน โลกาแดนปริศนาที่เขาทิ้งไว้จะกดอัดนักยุทธ์ในสายจ่างเทียนเต้าไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับนักยุทธ์ทั่วไป
ทว่าเห็นได้ชัดเจนเลยว่าหลัวซิวผู้นี้มิใช่คนในสายจ่างเทียนเต้า เหตุใดเขายังสามารถแสดงศักยภาพที่แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาในแดนปริศนามกุฎเทพ?
สำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นมู่หมิงหรือจี้เฟิง ทั้งสองคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
“โครม!”
เงาร่างของหลัวซิวจุติลงหน้ามู่หมิง วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่อยู่ด้านหลังเขากำลังหมุนอย่างช้า ๆ มือขวากำหอกยุทธ์มังกรดำ ชุดคลุมยาวสีขาวดำโบกสะบัดไปพร้อมกับสายลม
“เจ้าอยากพูดอะไรกับข้า?”เขาไม่ได้ลงมือโจมตีต่อ ทว่าจิตที่จะฆ่าของเขากลับผนึกอยู่ที่ร่างมู่หมิงตลอดเวลา
“ข้าอยากเสนอข้อแลกเปลี่ยนหนึ่งกับเจ้า”มู่หมิงกล่าว “ที่ข้าสืบหาร่องรอยจากโลกเสวียนเทียนจนมาถึงที่แห่งนี้นั้น เป็นเพราะเศษใจแห่งศุภรที่อยู่บนตัวเจ้า”
“ข้าสามารถใช้โอกาสและโชคชะตาในแดนปริศนามกุฎเทพ มาแลกกับเศษใจแห่งศุภรที่อยู่ในกำมือของเจ้าได้”
เมื่อได้ยินฝ่ายตรงข้ามพูดถึงเศษใจแห่งศุภร จิตจะฆ่าที่อยู่ในแววตาหลัวซิวก็เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เขาแทบจะสามารถยืนยันได้ในทันทีเลยว่า ราชาเทพผู้มีนามว่ามู่หมิงตรงหน้านี้ ต้องมีเยื่อใยที่แน่นแฟ้นต่อซือถูเจิ้งเจี้ยนอย่างแน่นอน ทั้งสองต่างมาจากสายจ่างเทียนเต้า
หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่ว่าเศษใจแห่งศุภรอยู่บนร่างตน เนื่องจากในเมื่อฝ่ายตรงข้ามสืบตามร่องรอยตนเองมาถึงที่นี่ เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามต้องเคยตรวจสอบเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของเขาเพื่อยืนยันเรื่องนี้แล้วแน่นอน
“เหตุใดถึงต้องให้เจ้ามอบโอกาสโชคชะตาในแดนปริศนาให้แก่ข้าด้วย ข้าสามารถไปเอาเองได้”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด
เศษใจแห่งศุภรสำคัญต่อเขามาก ๆ ถึงแม้จะไม่สามารถใช้มันในการต่อสู้ ทว่ากลับสามารถทำให้เวลาเดินช้าลงสิบเท่า ซึ่งเท่ากับว่าเขามีเวลาฝึกตนที่มากกว่าคนธรรมดาสิบเท่า สามารถย่นเวลาในกระบวนการการเจริญเติบโตของตัวเองให้สั้นลง
ด้วยเหตุนี้ หลัวซิวจึงไม่มีทางส่งเศษใจแห่งศุภรชิ้นนี้ออกไปอย่างแน่นอน
มู่หมิงขมวดคิ้ว “เศษใจแห่งศุภรมิใช่สิ่งที่เจ้าสามารถครอบครองได้ หรือเจ้าคิดว่าตัวเองสามารถต่อกรกับสายจ่างเทียนเต้าของเราได้จริง ๆ?”