หลังจากที่ลำแสงหายไป หลัวซิวก็เห็นชายวัยกลางคนในตำหนักมองเขาอย่างเย็นชา
ทุกปีมีผู้คนมากมายมาลองไหว้ครูเข้ามาสำนักไท่ไหล ด้วยสถานะของสำนักไท่ไหล การไหว้บรรพจารย์จะง่ายดายได้อย่างไร ความต้องการทางพรสวรรค์ไม่ต่ำ
อายุขัยกระดูกแปดสิบเจ็ด แม้ว่าจะกลายเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักไท่ไหล อย่างน้อยเขาก็ต้องมีผลการฝึกตนแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสุงถึงจะได้
แต่สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวแอบเหงื่อออกเช่นกัน โชคดีที่อายุขัยกระดูกที่ตรวจสอบออกมาคืออายุขัยกระดูกของตัวเอง ต้องรู้ว่าร่างกลวัฏสงสารสองของเขามีชีวิตมาได้หลายแสนปีแล้ว
“ข้าเป็นนักค่ายกลคนหนึ่ง” เมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะกลายเป็นคนงาน หลัวซิวก็แสดงท่าทางประหม่าและพูดอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเจ้าไม่มีนักค่ายเทพระดับหนึ่ง เจ้าก็เป็นได้แค่คนงานเท่านั้น” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างไม่อดทน
วิถีแห่งค่ายกลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสืบทอด หากปราศจากการสืบทอดประสบการณ์และคำแนะนำจากผู้เก่งกาจ ก็ยากที่จะเป็นนักค่ายเทพ
ในความเห็นของเขา อายุขัยกระดูกแปดสิบเจ็ดปี เป็นเพียงผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรขั้น 7 พรสวรรค์ของชายหนุ่มคนนี้ธรรมดามาก และเป็นไปไม่ได้ที่ความสามารถของเขาจะเป็นนักค่ายเทพระดับหนึ่ง
หลัวซิวยกมือขึ้นบีบผนึก มือของเขากลายเป็นเงา บางครั้งแสงประกายก็พุ่งออกมา ประทับอยู่บนความว่างเปล่าโดยรอบ
ในเวลาน้อยกว่าสามลมหายใจ เขาได้สร้างค่ายคุ้มกันระดับเทพขั้น 1 ด้วยวิธีการประทับลายค่ายในความว่างเปล่า
เมื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาของชายวัยกลางคนผู้เฉยเมยเป็นประกายเล็กน้อย ยกมือขึ้นชี้ ค่ายคุ้มกันของหลัวซิวแตกออกทีละน้อย ทำให้สีหน้าของเขาซีดและร่างกายของเขาถอยหลังไปเรื่อย ๆ
“ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า หายากมากที่จะสามารถมีระดับของนักค่ายเทพระดับหนึ่งได้ ต่อจากนี้ไป เจ้เป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักไท่ไหลของข้า”
ชายวัยกลางคนค่อยๆ เก็บมือ ทัศนคติเย็นชาเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีความความเมตตาออกมาเล็กน้อย
ขณะพูด เขาก็สะบัดแขนเสื้อ ป้ายบัญชาการก็บินไปด้านหน้าของหลัวซิว ด้านหน้าคือคำว่าไท่ ด้านหลังคือค่าย
สำนักไท่ไหลมีสองสาย มีคำว่าค่ายอยู่บนป้ายบัญชาการ ซึ่งแสดงถึงสายนักค่ายกล
“ข้าคือ หวูจื่ออานผู้ดูแลนอกสำนักของสำนักไท่ไหลสายค่ายกล เป็นโชคชะตาของเจ้าที่กลายเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักไท่ไหล หากเจ้าสามารถกลายเป็นนักค่ายเทพระดับ 4 ได้ในอนาคต เจ้าสามารถเป็นศิษย์ในสำนักได้ กลายเป็นนักค่ายเทพระดับสามารถเป็นศิษย์ใจกลางได้ ในอนาคตเจ้าจะประสบความสำเร็จใดขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าเอง”
หวูจื่ออานเหยียดนิ้วออกและชี้ไปที่ด้านข้างของตำหนัก ที่นั้นมีค่ายกลที่มีออร่ามีจาง ๆ “นี่คือค่ายวาร์ป สามารถเคลื่อนย้ายจากเมืองไท่ซานไปยังประตูสำนักของสำนักไท่ไหลโดยตรง เดินเข้าไปข้างใน เจ้าก็จะเป็นศิษย์ของสำนักไท่ไหล”
แม้ว่าหลัวซิวได้สอบถามเกี่ยวกับการรับศิษย์ของสำนักไท่ไหลแล้ว แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าขั้นตอนการรับศิษย์จะง่ายขนาดนี้ แล้วไม่ได้ตรวจสอบว่าเขาเป็นสายลับที่ส่งมาจากกองกำลังอื่นหรือไม่
เขากำหมักเคารพชายวัยกลางคนที่ชื่อหวูจื่ออานโดยไม่ลังเล เขาก้าวไปข้างหน้าและเดินเข้าไปในค่ายวาร์ป
กระบวนการส่งนั้นสั้นมาก ระดับของค่ายวาร์ปปริภูมินี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ แค่มีความสามารถของนักค่ายเทพระดับก็สร้างขึ้นมาได้
ค่ายวาร์ประดับนี้ส่งไม่ไกลมากนัก เพราะเมืองไท่ซานนั้นอยู่ไม่ไกลจากสำนักไท่ไหล
เมื่อความผันผวนของกฎปริภูมิหายไป หลัวซิวเห็นกลุ่มภูเขา มองไปรอบๆ มีภูเขามากมายนับไม่ถ้วน ตำหนักพระราชวังหรูหรามากมาย ราวกับแดนสวรรค์บนดิน
เป็นหนึ่งในห้ากองกำลังราชาเทพเหมือนกัน ต่างจากห้วงกระบี่แข็งแกร่งน่าเกรงขามของสำนักเทียนเจี้ยน ไม่เหมือนกับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของสำนักไท่ไหลดูเหมือนจะเงียบสงบ ไม่สนใจโลกภายนอก