หลัวซิวดวงตาเป็นประกาย เขาโคจรวิชาอาถรรพณ์พลังแปรเสวียนเทียน พลังรบก็พลันเพิ่มสูงขึ้นในทันที แต่หัวคิ้วของเขาก็ยังไม่หยุดขมวด เพราะว่าหลังจากโคจรพลังแปรเสวียนเทียน การเพิ่มขึ้นของพลังรบกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นสูงเท่าที่เขาคาดคิดเอาไว้
“ขีดจำกัด?”
เขาดูเหมือนจะสามารถรู้แจ้งถึงบางอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนที่พลังผลการฝึกตนของเขาค่อนข้างต่ำ พลังแปรเสวียนเทียนสามารถเพิ่มพลังรบขึ้นได้ถึงร้อยเท่า ทำให้เขาสามารถต่อสู้ข้ามแดนได้อย่างง่ายดาย
แต่นับตั้งแต่พลังผลการฝึกตนของเขาที่นับวันก็ยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากพลังเวทย์บรรลุถึงราชาเทพแล้ว ผลลัพธ์ของพลังแปรเสวียนเทียนก็อ่อนแอลง
แม้ว่าพลังผลการฝึกตนของเขาจะไปถึงระดับที่สูงขึ้นแล้วก็ตาม วิชาอาถรรพณ์พลังแปรเสวียนเทียนนี้ มันกลับไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิชาอาถรรพณ์พลังอมตะที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น จึงจะสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้
อย่างเช่นวิชาพลังอมตะของเทพสงครามไร้เทียมทาน ภายใต้แดนเทพฟ้าสามารถมีส่วยช่วยในการเพิ่มพลังรบได้ แต่เมื่อโคจรในเวลานี้ สำหรับพลังของเขาแล้วไม่สามารถช่วยเพิ่มในด้านใดได้เลย นั่นก็เพราะว่าระดับของวิชาพลังอมตะเทพสงครามไร้เทียมทานมันค่อนข้างต่ำไปแล้ว
“กฎดั้งเดิมขั้นที่สี่ สุดท้ายก็ยังคงขาดอยู่เล็กน้อย”
เพียงพริบตา เขามายังสำนักไท่ไหลเป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลหรือกลั่นยา ระดับของเขาได้รับการยกเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด จนมาถึงคอขวดแล้ว
อุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ ก็คือการสัมผัสรู้ของกฎดั้งเดิมขั้นที่สี่ เมื่อใดก็ตามที่สำเร็จ เช่นนั้นเขาก็จะก้าวขึ้นไปเป็นนักค่ายเทพระดับเจ็ดและนักยาเซียนระดับเจ็ดได้
และเมื่อเชี่ยวชาญกฎดั้งเดิมขั้นที่สี่ พลังรบของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีก เทียบเท่าได้กับราชาเทพที่แท้จริง
เทพมารขั้นสูงแต่กลับครอบครองความสามารถทุกอย่างของราชาเทพอย่างสมบูรณ์ เทียบเท่ากับศักยภาพที่เขามี มันมากกว่านักยุทธ์ทั่วไปถึงสองแดนใหญ่!
“ในวันนี้ความลึกลับของค่ายเทพระดับเจ็ดข้าได้มาครอบครองแล้ว เหลือเพียงแดนกฎเท่านั้น”
หลัวซิวที่อยู่ภายในถ้ำค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นร่างนั้นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นร่างกลวัฏสงสารที่สอง เดินออกมาจากถ้ำ
ภายในสายค่ายกลมีคนรู้จักเขาไม่มากนัก รู้เพียงมีคนผู้หนึ่งนามว่าเย่ห้าวหราน ได้กลายเป็นเจ้าสำนักน้อยของวิถีแห่งค่ายกล แต่น้อยมากที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน
บนยอดเขาที่มีพื้นที่เปิดโล่ง หลัวซิวมองเห็นศิษย์สายค่ายกลมากมายนั่งขัดสมาธิอยู่ ผู้คนมากมาย พลุกพล่านหนาแน่น
ที่บริเวณสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใจกลางที่สุดมีชานชาลาสูงอยู่แห่งหนึ่ง ชายชราในชุดขาวพูดอย่างใจเย็น เสียงของเขาก็แผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ กำลังพูดถึงความลึกลับของวิถีแห่งค่ายกลและประสบการณ์บางอย่าง
นักค่ายเผยแพร่ ที่สำนักไท่ไหลสายค่ายกลถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีคุณสมบัติในการเผยแพร่ อย่างน้อยต้องเป็นนักค่ายเทพระดับสี่
นักค่ายเทพระดับสี่ขึ้นไป ท่ามกลางสายค่ายกลนั้นมีไม่มาก ส่วนมากจะเป็นระดับสามลงไป
ชายชราชุดขาวที่เผยแพร่อยู่ในเวลานี้คือนักค่ายเทพระดับห้าผู้หนึ่ง อาวุโสมาก เดิมแล้วมีผลการฝึกตนแดนเทพฟ้า วิจัยความลับวิถีแห่งค่ายกลโดยเฉพาะมามากกว่า 100,000 ปี
เมื่อหลัวซิวปรากฏตัวบนยอดเขานี้ ก็มีคนที่จำสถานะของเขาได้ รีบลุกขึ้นโค้งทำความเคารพทันที พร้อมเอ่ยเรียกเจ้าสำนักน้อย
ในเวลาเดียวกัน หลายคนก็ขมวดคิ้ว พลางขมวดคิ้วด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยาม เหมือนว่าเขาค่อนข้างไม่พอใจต่อเจ้าสำนักน้อยของวิถีแห่งค่ายกลผู้นี้ จงใจไม่ลุกขึ้นยืน ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะของเจ้าสำนักน้อยของวิถีแห่งค่ายกลเมื่อปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ทันใดนั้นก็ดึงดูดให้ศิษย์หลายคนที่กำลังฟังการบรรยายเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที
ชายชราชุดขาวที่กำลังเผยแพร่อยู่นั้นเผยสีหน้าไม่พอใจ ในฐานะนักค่ายเทพระดับห้าที่มีจำนวนน้อยนิดของสายค่ายกล เขาย่อมรู้ดีว่าหลัวซิวคือใคร แต่ภายในใจกลับรู้สึกดูถูกอย่างถึงที่สุดต่อผู้น้อยที่เพิ่งมายังสำนักไท่ไหลได้เพียงสามปีกว่าผู้นี้
ระหว่างนักยุทธ์ ความแข็งแกร่งมาก่อน ผู้แข็งแกร่งถือเป็นจ้าว