นักยุทธ์กลั่นร่างร่างเนื้อแข็งแกร่งทรงพลัง แต่เมื่อมาถึงช่วงปลาย ก็จะยกระดับความแข็งแกร่งได้ยากยิ่งขึ้น นักยุทธ์ส่วนมากฝึกกลั่นร่างเป็นเรื่องรอง แต่ก็ยากที่จะฝึกตนจนถึงระดับสูงสุด
เพราะเมื่อร่างเนื้อชุบร่างถึงแดนเทพมารแล้ว นักยุทธ์ทุกคนต่างก็ต้องพบเจอกับคอขวด มักจากไม่สามารถผ่านมันไปได้
มีเพียงในสมัยโบราณเท่านั้น นักยุทธ์กลั่นร่างเคยแข็งแกร่งไร้เทียมทานอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ว่ากันว่ามีวิชาอาถรรพณ์สำหรับกลั่นร่างโดยเฉพาะ สามารถทำให้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อข้ามแดนเทพมาร ก้าวเข้าสู่แดนที่สูงกว่านั้นได้
นักยุทธ์กลั่นวิญญาณก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ นักยุทธ์ประเภทนี้เป็นพวกที่ทำให้ผู้คนกังวลใจมากที่สุด โจมตีวิญญาณยากที่จะป้องกัน ไร้รูปไร้ร่าง
แต่หลัวซิวในเวลานี้ ในสายตาของไท่ซานและไท่หลิงอาจารย์ทั้งสองท่านนี้ ก็คือผู้แข็งแกร่งกลั่นร่าง อีกทั้งร่างยุทธ์ร่างเนื้อ บรรลุถึงระดับราชาเทพแล้ว!
แดนเดียวกัน พลังรบของราชาเทพกลั่นร่าง อยู่เหนือกว่าราชาเทพทั่วไป。
เพราะว่าผู้แข็งแกร่งที่กลั่นร่างไม่มีทางที่จะชุบร่างเนื้อเพียงอย่างเดียว ก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกฎด้วยเช่นกัน มีพลังแห่งกฎคอยหนุน สามารถทำให้พลังรบของนักยุทธ์กลั่นร่างเพิ่มขึ้นมหาศาล
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ตาม ภายในสำนักไท่ไหลของพวกเรา ก็รับความก้าวร้าวของเจ้าไม่ได้!”
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่สนใจตน อาจารย์ไท่หลิงก็พูดเสียงต่ำออกมา เหนือศีรษะปรากฏเตาสีเขียวชิ้นหนึ่ง
บนเตาชิ้นนี้สลักยันต์ค่ายกลไว้จำนวนมาก ยันต์ค่ายกลทุกชิ้นต่างก็คือค่ายกลที่สมบูรณ์ค่ายหนึ่งหลอมรวมกัน ดังนั้น บนเตานี้ก็จะมีค่ายกลจำนวนมากเป็นแรงหนุน พลังอำนาจนั้นทรงพลังยิ่ง
หลัวซิวไม่เอ่ยพูดสิ่งใด สาวเท้าก้าวขึ้นไปด้านหน้า หมัดของเขาถูกปล่อยออกไป ทุกหมัดต่างเต็มไปด้วยพลังอมตะที่แปรโดยหมื่นจักรวาลไร้รูป
ทุกหมัดที่เขาปล่อยออกไป ยันต์ค่ายกลบนเตาใหญ่เขียวก็แตกสลายไปบางส่วน หลังจากผ่านไปแปดหมัด แสงของเตาใหญ่เขียวก็พลันรี่ลง ยันต์ค่ายกลทั้งหมดบนนั้น สลายไปมากกว่าครึ่ง
“เจ้า……” อาจารย์ไท่หลิงหน้าซีดเผือด
“ออกไป!”
หลัวซิวคำรามก้อง หมัดที่เก้าปล่อยออกไป พลังของหมัดครั้งนี้ พลังที่สะสมด้วยหมัดแปดครั้งก่อนหน้านี้ ทรงพลัง พุ่งตรงไปอย่างมั่นคงไม่สั่นไหว
เสียงโครมครามดังขึ้น เตาใหญ่เขียวถูกเขาชกจนกระเด็นลอยออกไป กลิ้งหลุน ๆ ขึ้นไปบนฟ้าสูง ทะลวงท้องฟ้าจนกลายเป็นหลุมดำ กลิ้งไปมาไม่เป็นรูปร่าง
เสียงแกร็กดังออกมา ด้านบนของเตาใหญ่เขียว เกิดเป็นรอยแยกแตกร้าว นั่นคือถูกเขาอาศัยเพียงร่างเนื้ออสุรา โจมตีจนมันเกือบจะแตกสลาย
นี่คือพลังรบของหลัวซิวในวันนี้ สามารถบดขยี้ราชาเทพช่วงต้นได้อย่างง่ายดาย!
“หากไม่มีอาจารย์ของข้าเปิดสายค่ายกล สำนักไท่ไหลจะยืนหยัดและโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างไร? แต่ในวันนี้อาจารย์ของข้าเพิ่งจะสิ้นชีพ กระดูกยังไม่ทันสลาย พวกเจ้าก็เผยสันดานสัตว์ป่า คิดจะวางแผนแย่งชิงการสืบทอดของเขาที่อยู่ในมือข้า……”
หลัวซิวยืนขึ้นกลางอากาศ ก้มหน้าลงมองไท่ซานและไท่หลิงราชาเทพทั้งสองจากด้านบน ออร่าอันทรงพลังได้ตระหง่านขึ้น พุ่งไปบนท้องฟ้า กลายเป็นอำนาจกดดันมหาศาล ซึ่งมันทำให้อาจารย์ราชาเทพทั้งสองท่านต่างแทบจะแบกรับเอาไว้ไม่ได้
ช่วงเวลานี้ ทั่วทั้งสำนักไท่ไหล ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายนักยุทธ์หรือสายค่ายกล ทั้งหมดต่างจับตามองไปยังร่างของหลัวซิวที่อยู่กลางอากาศเป็นตาเดียว
โดยเฉพาะศิษย์สายค่ายกล สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เพราะสำหรับศิษย์สายค่ายกลแล้ว อาจารย์ไท่หยุนก็คือเทพพระเจ้า คือผู้ที่หัวใจของพวกเขาศรัทธา เป็นจุดสูงสุดที่พวกเขาตลอดชีวิตของพวกเขาก็ไม่สามารถปีนขึ้นไปถึง
สำหรับความรู้สึกผูกพันต่อสายค่ายกล ช่างห่างไกลกว่าความรู้สึกต่อสำนักไท่ไหลมากนัก การกระทำของสายนักยุทธ์ ทำให้ศิษย์มากมายของสายค่ายกลผิดหวังจนเจ็บใจ
“กล้าตั้งตัวเป็นกบฏ ใช้วิธีการน่ารังเกียจเพื่อแย่งชิงการสืบทอดวิถีแห่งค่ายกล ยังกล้ามาพูดจาชักแม่น้ำทั้งห้าที่นี่อีกรึ?”
บนยอดเขาที่สูงที่สุดของสายนักยุทธ์ มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น ดังก้องไปทั่วทั้งสำนักเขา มาพร้อมด้วยพลังอำนาจที่สูงตระหง่าน
ออร่านี้ ใช่ว่าหลัวซิวจะไม่คุ้นเคย ในตอนที่อยู่ที่เมืองเทวะดาราอุดร ท่ามกลางราชาเทพทั้งห้าก็มีคนผู้นี้อยู่ด้วย