อาจารย์ไท่ไหลบินออกไปด้วยโทษะ แต่หลังจากนั้นฝ่ามือขนาดใหญ่ที่หลอมรวมขึ้นจากโดยรัศมีเทวเจ็ดสีก็ฟาดลงมา ราวกับตบแมลงวันอย่างไรอย่างนั้น ทำมให้เขาร่วงลงมากลางอากาส และถูกกดทับในทันที!
เพียงการควบคุมค่ายใหญ่สำนักเขาของตน หลัวซิวสามารถอาศัยกระตุ้นพลังของค่ายกลระดับแปดมาตรฐานนับสิบค่าย สำแดงพลังที่เทียบเท่ากับเทียบเท่าราชาเทพช่วงปลาย!
นี่คือสมบัติล่ำค่าที่อาจารย์ไท่หยุนทิ้งไว้ให้เขา นอกจากประสบการณ์ทั้งหมด รวมถึงการสืบทอดของชิ้นส่วนตำราค่ายกลแล้ว ก็ยังมีค่ายใหญ่ระดับแปดมาตรฐานนับสิบค่ายที่ถูกหลอมรวมขึ้นเป็นค่ายใหญ่ของสำนักเขา เพื่อปกป้องหลัวซิว
“ตอนนี้ พวกเราน่าจะสามารถคุยกันดี ๆ ได้แล้ว”
ทั่วทั้งสำนักไท่ไหล มีเพียงหลัวซิวผู้เดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่กลางอากาศ ภายใต้อำนาจกดดันของค่ายใหญ่แห่งสำนักเขา ทำให้ทุกคนต่างก็ยากที่จะหายใจออกมาได้อย่างสะดวก
อาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดถูกปรามเอาไว้แล้ว ภาพนี้สั่นสะเทือนไปทั่วหัวใจของทุกคน หลัวซิวที่ยืนอยู่บนที่สูงกลางอากาศ ในวินาทีนี้เป็นราวกับเทพเจ้าที่ไร้ศัตรู ทำให้ผู้คนนับถือละยำเกรง!
อาจารย์ราชาเทพทั้งสามของสำนักไท่ไหล หลัวซิวไม่ได้สังหารทิ้ง ถึงอย่างไร ก็ยังเป็นสำนักที่อาจารย์ไท่หยุนเคยอาศัยมาก่อน
ค่ายใหญ่ของสำนักเขาถูกหลัวซิวใช้การถ่ายทอดของวิชาอาถรรพณ์ของอาจารย์ไท่หยุนยึดไปแล้ว แปรเปลี่ยนเป็นหน้ากากสีดำ ส่องประกายแสงเยือกเย็น
หน้ากากชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมของค่ายใหญ่แห่งสำนักเขา เช่นเดียวกัน ยังเป็นของขลังที่อาจารย์ไท่หยุนฝึกเซ่นออกมาจากประสบการณ์ทั้งชีวิตของเขา
เพียงแค่ต้องสวมหน้ากากชิ้นนี้ไว้ ก็ทำให้สามารถปลดปล่อยพลังที่เทียบเท่าราชาเทพช่วงปลายได้
อาศัยอำนาจของค่ายใหญ่แห่งสำนักเขา หลัวซิวรื้อค้นคลังสมบัติของสำนักไท่ไหล หยิบเอาทรัพยากรและสมบัติจำนวนมหาศาล
เขารู้ดีว่าเส้นทางโลกยุทธ์ของตนเองนั้นถูกกำหนดให้พบเจอกับความยากลำบาก จำเป็นต้องสะสมทรัพยากรและสมุนไพรเพิ่มพลังจำนวนมหาศาล ดังนั้น ภายในสำนักไท่ไหล ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สังหารอาจารย์ทั้งสาม แต่ก็ได้ยึดเอาทรัพยากรจำนวนมหาศาลไปด้วย
หลังจากออกจากสำนักไท่ไหล เขาก็สวมหน้ากากสีดำเอาไว้ ด้วยชื่อของซิวหลัว สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ภายในช่วงเวลาต่อมา ทั่วทั้งโลกาดาราอุดรต่างก็พากันพูดถึงคนผู้หนึ่ง ในนามว่าซิวหลัวหน้ากากดำ
นี่คือผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่งที่สวมชุดและหน้ากากสีดำ ความแข็งแกร่งของพลังรบสามารถเทียบเท่าได้กับราชาเทพช่วงปลาย
เขาใช้พลังการทำลายล้างอันแข็งแกร่งโจมตีกองกำลังใหญ่จำนวนมาก จากนั้นก็ยึดเอาทรัพยากรและสมบัติจำนวนมหาศาลมา
ผู้ที่ถูกขนานนามว่าซิวหลัวหน้ากากดำ แน่นอนว่าผู้นั้นก็คือหลัวซิว
นับตั้งแต่ออกไปจากสำนักไท่ไหล เขามายังปราสาทอเวจี เป็นหนึ่งในกองกำลังระดับราชาเทพเช่นเดียวกัน พลังของปราสาทอเวจีแห่งนี้ค่อนข้างอ่อนแอยิ่งกว่า มีเพียงราชาเทพสองคน อีกทั้งยังเป็นราชาเทพช่วงต้น
เพียงแต่ในวันนี้ ปราสาทอเวจีเหลือราชาเทพแค่เพียงหนึ่งคนเท่านั้น เพราะว่าอาจารย์จิ่วหยินที่ครอบครองผลการฝึกตนราชาเทพขั้นสาม ได้ตายไปแล้วด้วยดาราโบราณมกุฎเทพของหลัวซิว
เป็นเวลาหลายแสนปี ค่ายกลในใต้หล้ามีไท่ไหล ค่ายใหญ่ของสำนักเขาแห่งปราสาทอเวจีสำหรับหลัวซิวแล้วนั้นเรียกได้ว่าเป็นของประดับ เขาใช้พลังการทำลายล้างอันแข็งแกร่งบุกเข้าไปด้านใน สังหารราชาเทพคนสุดท้ายของปราสาทอเวจี ทำให้คลังสมบัติของกองกำลังใหญ่ราชาเทพ ว่างเปล่าราวกับพบเจอภัยพิบัติ
สำหรับปราสาทอเวจี หลัวซิวไม่ได้ปฏิบัติต่อที่นั่นด้วยความปราณีเหมือนอย่างที่ทำกับสำนักไท่ไหล นับแต่นี้ต่อไป ปราสาทอเวจีจะถูกลบนามไปตลอดกาล!
ข้อมูลนี้เมื่อแพร่ออกไป ก็สะเทือนไปทั่วทั้งใต้หล้า แต่เมื่อตามรอยของซิวหลัวหน้ากากดำไป ก็ได้พบกับสำนักวัชรยักษ์ขึ้นมาอีกแห่ง
สำนักวัชรยักษ์เดินอยู่บนเส้นทางของวิถีแห่งกลั่นร่าง แต่กลับไม่เหมือนหลัวซิวที่หลังจากเป็นเทพมาร ก็เข้าสู่วิถีแห่งกลั่นร่างวิชาเปิดจุดลมปราณ แต่เป็นการใช้วิธีการเฉพาะเพื่อบรรลุกฎเกณฑ์ ก็สามารถชุบร่างเป็นร่างยุทธ์ระดับราชาเทพ
แน่นอนว่า วิชาการชุบร่างเนื้อประเภทนี้ ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับวิชาอาถรรพณ์จุดลมปราณได้เลย
เคล็ดวิชาร่างกายมนุษย์จุดลมปราณ เปิด 18 จุดลมปราณ ร่างเนื้อก็จะเทียบเท่าราชาเทพ มันคือวิถีแห่งกลั่นร่างในสมัยโบราณกาล
หลังจากได้รับรู้เกี่ยวกับวิชากลั่นร่างของสำนักวัชรยักษ์ หลัวซิวก็พอจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้คร่าว ๆ ว่า ร่างเนื้อที่ใช้วิชาอาถรรพณ์จุดลมปราณชุบร่างนั้น จึงจะเป็นร่างของเทพมารที่แท้จริง!