จากการปลุกเสกของกฎปริภูมิ พลานุภาพของค่ายสังหารระดับ 8 เทียบเท่าระดับ 9 อย่างไรก็ตามเกราะป้องกันของชายร่างใหญ่ผู้นี้แข็งแกร่งอย่างมาก ถึงกับต้านทานการโจมตีของค่ายสังหารไปได้อย่างไม่คาดคิด ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“สหาย นี่เป็นเพียงการเข้าใจผิด และเจ้าก็ฆ่าข้ามิได้เช่นกัน เหตุใดถึงต้องพัวพันต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย? หรือเจ้าคิดว่าเพียงตัวเจ้าผู้เดียวจะสามารถต่อกรกับงานประมูลอัคคีนภาได้?”
ชายร่างใหญ่บอกประวัติความเป็นมาของตนออกมา เขาเชื่อว่าขอเพียงฝ่ายตรงข้ามไม่โง่ ก็ต้องเกรงกลัวต่อศักยภาพของงานประมูลอัคคีนภาอย่างแน่นอน
เขาพลิกมือหยิบยันต์หยกออกมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น: “ขอเพียงข้าทำลายยันต์หยกชิ้นนี้ คนในงานประมูลอัคคีนภาของเราก็จะเร่งเดินทางมาที่นี่เป็นสิ่งแรก เจ้าฆ่าข้ามิได้หรอก”
“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”
ใบหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึก ดวงตาคู่นั้นเหมือนดั่งเหวลึก ทำให้ผู้สบตาราวกับจะจมดิ่งเข้าไปภายในเหวลึกยังไงอย่างนั้น
“อ๊ากก! ……”
เสียงกรีดร้องที่แหลมจิ๊ดดังก้องกังวานขึ้นมา ชายร่างใหญ่คิดว่าเมื่อตัวเองอาศัยเกราะป้องกันจากกฎธาตุดินดั้งเดิมแล้ว ก็ไม่ต้องเกรงกลัวภยันตรายใด ๆ
ทว่าเขากลับนึกไม่ถึงเลยว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่ยึดกุมกฎปริภูมิอย่างเดียวเท่านั้น คาดไม่ถึงเลยว่าจะเชี่ยวชาญด้านการโจมตีวิญญาณด้วย
ตัวหยั่งรู้ของชายร่างใหญ่ธรรมดามาก ๆ ครั้นเมื่อบรรลุสู่เทพฟ้าตัวหยั่งรู้ของเขามิได้ผันเป็นวังอัมพรแต่อย่างไร
ส่วนตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวนั้นผันเป็นห้วงดาราแล้ว ผนึกรวมพลังแห่งห้วงดาราเข้าด้วยกันเพื่อแสดงเคล็ดวิชาแปรจิตเทพ ภายใต้การจู่โจม ทำให้เกราะป้องกันตัวหยั่งรู้ของฝ่ายตรงข้ามถูกทลายไปภายในพริบตา
ตัวสำนึกของเขากลายเป็นกระบี่ที่เฉียบคม ทิ่มแทงเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของชายร่างใหญ่ สับลงกลางตัวสำนึกของฝ่ายตรงข้ามอย่างดุดันไร้ความปราณี
แคว็ก!
รอยร้าวหนึ่งปรากฏบนตัวสำนึก ความเจ็บปวดของการที่จิตวิญญาณถูกฉีกกระชากจนแตกสลาย ทำให้ชายร่างใหญ่กรีดร้องเสียงดังออกมาภายในชั่วพริบตา น่าเวทนาถึงขีดสุด
หลัวซิวก้าวเท้าย่างกรายเข้าไปในค่ายสังหาร พลังจุดลมปราณทั้ง 18 จุดบนร่างเนื้อระเบิดออกมาพร้อมกัน แล้วปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ปัง!”
มาตรแม้นว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้แข็งแกร่งกลั่นร่าง ทว่าร่างเนื้อของหลัวซิวกลับแข็งแกร่งกว่า หมัดที่ปล่อยออกไปอย่างสุดกำลังสามารถ เทียบเท่าการโจมตีของราชาแห่งศัสตราวุธชั้นยอด
ร่างกายครึ่งหนึ่งของชายร่างใหญ่ถูกโจมตีจนระเบิดแตกไปภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดปรากฏหลังศีรษะหลัวซิว ยึดกลืนแก่นแท้ชีวีของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่หยุดหย่อน
ทุกอย่างแทบจะเกิดขึ้นภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ชายร่างใหญ่ที่อยู่ระดับราชาเทพช่วงปลายก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง ก่อนจะลอยหายไปในอากาศ แก่นแท้ชีวีส่วนมากของเขาล้วนถูกหลัวซิวใช้วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดกลืนกิน ส่วนตัวสำนึกที่มีรอยร้าวหนึ่งรอยนั้นถูกเขาหยิบขึ้นมาอย่างสะดวกสบาย แล้วโยนให้อสูรดูดจิตโบราณที่เกาะอยู่บนไหล่กลืนกิน
ปัจจุบัน ปริมาณตัวสำนึกระดับราชาเทพที่อสูรดูดจิตโบราณกลืนกินไปก็มีไม่น้อยแล้ว พลังที่ผนึกรวมอยู่ในร่างกายมันก็สูงถึงระดับที่แน่นอน เริ่มมีแนวโน้มที่จะวิวัฒนาการแล้ว
หลัวซิวมิได้หยุดพักอยู่ที่เดิม เงาร่างกระพริบแล้วหายวับไปเลย
หลังจากผ่านไปหลายวัน ณ ดินแดนที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง หลัวซิวโบกมือวางค่ายกลที่ใช้เพื่อตัดขาดออร่าและกระแสสัมผัสตัวสำนึกจากโลกภายนอก
ช่าจื่อเยียนถูกเขาปล่อยออกมาจากโลกาจุดลมปราณ นางมองดูสภาพแวดล้อมบริเวณรอบ ๆ ที่ไม่คุ้นเคยอย่างมึนงงเล็กน้อย เมื่อสังเกตเห็นชายหนุ่มที่นั่งท่าขัดสมาธิอยู่ตรงหน้านั้น ก็มีรอยยิ้มอันขมขื่นที่ไม่สามารถต่อกรกับโชคชะตาปรากฏตรงมุมปากนางอย่างควบคุมไม่ได้
นางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจุดจบของการถูกมองว่าเป็นเตากลั่นยาอัคคีแล้วขายออกไปจะเป็นอย่างไร สถานที่ดังกล่าวเหมือนจะเป็นถ้ำอันเรียบง่ายที่เพิ่งบุกเบิก ดูท่าผู้ที่ทำการซื้อนางมาน่าจะซื้อมาเพื่อฝึกตน มองว่านางเป็นเตากลั่นยาอัคคีและจะดูดกลืนพลังชีวิตของนางเป็นคนแรก
หากไม่มีตัวต้องห้ามในร่างกาย นางอยากฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย นางยอมตายดีกว่าต้องมีชีวิตอยู่แล้วถูกดูถูกเหยียดหยาม ทว่านางที่มีผลการฝึกตนเพียงระดับเทพมาร เมื่ออยู่ในห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้แล้ว นางก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการกลั่นแกล้งของโชคชะตาได้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นคือนางไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ในการตาย……
ในขณะที่นางกำลังหลับตาลงเพื่อรอเผชิญหน้ากับความอัปยศของโชคชะตาอยู่นั้น เสียงเสียงหนึ่งกลับดังเข้ามาในหูนางกะทันหัน ทำให้ร่างกายที่อ่อนช้อยของนางสั่นระริกอย่างอดไม่ได้