เมื่อเสิ่นปิงหยูมาถึงยังเหวไร้สิ้นสุด ได้เห็นหลายคนกำลังค้นหาวิธีการเข้าไปยังตำหนักปีศาจเพลิง
ตำหนักปีศาจเพลิงอันสูงตระหง่านตั้งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของลาวา ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ใกล้ ๆ ในขณะนี้ไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มที่สอง หรือว่ากลุ่มที่สาม นอกจากอิงบูเฉิงกับเทพธิดายู่หรงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มคนกลุ่มแรกที่มาที่นี่ ได้ถูกกำจัดไปจนหมดแล้ว
สำหรับเรื่องราวของเย่ห้าวหราน อิงบูเฉิงกับเทพธิดายู่หรงไม่ได้พูดสิ่งใดให้มากความ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้าไปแล้ว
“ที่แห่งนี้คือพื้นที่ของพวกเราตระกูลจู้ คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป!”
เมื่อเห็นเสิ่นปิงหยูเดินเข้ามา ยอดฝีมือตระกูลจู้แห่งโลกะอัมพรเทวก็รุดหน้าขึ้นมากันนางเอาไว้ เพราะว่าทิศทางที่นางเดินเข้ามานั่น ก็คืออาณาเขตที่ตระกูลจู้ยึดครองพอดี。
คิ้วเรียวงามของเสิ่นปิงหยูขมวดเล็กน้อย ร่างบางกลับไม่ได้หยุดลงเพราะเหตุการณ์นี้ ยังคงเดินไปด้านหน้าต่อไป
นักยุทธ์ตระกูลจู้หลายคนเผยรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้า “แม่หญิงแกว่งเท้าเข้าหาเสี้ยนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะจับเจ้ามาทำเป็นเตากลั่นยาอัคคีแทนก็แล้วกัน!”
ในตอนที่คนเหล่านี้กำลังจะเคลื่อนไหว กลับเห็นว่าร่างของเสิ่นปิงหยูพลันเปลี่ยนไป และปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหนึ่งในพวกเขาภายในชั่วพริบตา
“ตาย!”
ริมฝีปากสีชาดเปิดออกเบา ๆ คำสั้น ๆ ที่หนาวเหน็บถึงกระถูกดำถูกพ่นออกมา วินาทีต่อมานิ้วเรียวยาวขาวซีดราวกับหยกก็ได้กดลงไปยังห้วงจักรของนักยุทธ์คนนี้
เสียงผุดังขึ้น ศีรษะของนักยุทธ์ตระกูลจู้ผู้นี้ก็พลันแหลกละเอียดเป็นผุยผง ไม่มีเลือดกระเซ็น เขาได้กลายเป็นความว่างเปล่าในทันที
เจตนาฆ่าอย่างเลือดเย็นแผ่ออกมาจากเร่างของเสิ่นปิงหยู ถึงนางจะเป็นหญิง แต่สามารถฝึกตนจนถึงแดนระดับนางได้นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะอาศัยเพียงการฝึกตบะอย่างเดียวเท่านั้น แต่นางได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้และการเข่นฆ่าด้วยชีวิตและความตายมานับครั้งไม่ถ้วนมาอย่างเนิ่นนานแล้ว
เส้นทางนักยุทธ์ คือความโหดร้าย ทุกคนที่เดินบนเส้นทางนี้ ระหว่างการฆ่าและการถูกฆ่า ต่างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ร่างที่สง่างามของเสิ่นปิงหยูลอยผ่านไป ศพของนักยุทธ์ตระกูลจู้หลายคนร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ท่ามกลางนักยุทธ์ตระกูลจู้จำนวนมาก นำกองกำลังโดยชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาคือความภูมิใจของคนรุ่นใหม่ตระกูลจู้ ฝึกตนมาแล้วสามพันปี ก็ได้มีผลการฝึกตนระดับกึ่งมกุฎเทพ
“หลีกไป ไม่เช่นนั้นตาย!”
เสิ่นปิงหยูไม่ได้พูดมากไปกว่านี้ บนใบหน้าที่งดงามนั้น มีเพียงแค่ความเยือกเย็นและจิตสังหารเท่านั้น
“ช่างเป็นผู้หญิงที่หยิ่งผยองเสียจริง ข้าจะดูเสียหน่อยว่าเจ้ามีความสามารถอย่างใด ถึงได้กล้าทำตัวหยิ่งผยองพองขนต่อหน้าข้าตระกูลจู้!”
นักยุทธ์ตระกูลจู้ราชาเทพช่วงปลายหลายคนเดินเข้ามา ในฐานะกองกำลังระดับมกุฎเทพของโลกะอัมพรเทว แม้ว่าดาราแห่งกาลเวลาจะมีข้อจำกัดอายุการเติบโตที่หนึ่งหมื่นปี ท่ามกลางวิถีฝึกตนของตระกูลจู้ก็ไม่ได้ขาดแคลนยอดฝีมือราชาเทพช่วงปลาย
ทันใดนั้นก็มีราชาเทพช่วงปลายสี่คนเข้ามา อาศัยวรยุทธ์ระดับมกุฎเทพที่พวกเขาได้ฝึกมา กึ่งมกุฎเทพทั่วไปก็ยังต้องถอยออกไป
ระหว่างที่โคจรวรยุทธ์ บนร่างของพวกเขามีอัคคีเทพพันล้อมไว้ มังกรไฟที่ดุร้ายโอบแขนทั้งสองข้าง ออร่าเพลิงอัคคีพุ่งทะลุฟ้า
ดวงตาคู่สวยของเสิ่นปิงหยูเผยความดูถูกเหยียดหยามออกมา นางก้าวเท้าขึ้นไปในอนัตตา นิ้วเรียวขาวราวกับหยกขยับเล็กน้อย
“ดัชนีภูตน้ำแข็ง!”
ลูกแก้วน้ำแข็งที่งดงามเจิดจรัสปรากฏขึ้นในอากาศ หลังจากนั้นปริภูมิผืนใหญ่ต่างก็ถูกผนึกเยือก ยอดฝีมือราชาเทพช่วงปลายทั้งสี่ พลันหน้าถอดสีในทันใด
เพราะว่ากฎเพลิงอัคคีที่พวกเขาเชี่ยวชาญนั้น ถูกควบคุมระงับไว้อย่างสมบูรณ์ อัคคีเทพบนร่างของเขาดับลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร่างกายของพวกเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของน้ำแข็ง
นิ้วมือของเสิ่นปิงหยูแตะลงไปเบา ๆ เสียงของกระดูกที่หักนั้นดังขึ้นข้างหูอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นักยุทธ์ราชาเทพช่วงปลายทั้งสี่ของตระกูลจู้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทีละคน และกลายเป็นตะกรันน้ำแข็งในที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นร่างเนื้อ หรือว่าช่องจิตที่หลอมรวมด้วยวิญญาณกฎดั้งเดิม ต่างก็ถูกผนึกเยือก กลับหลายเป็นความว่างเปล่า