“โอ้สวรรค์ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? ควบคุมอัคคีเยือกกฎสองชนิดได้ในเวลาเดียวกัน?”
มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความตกใจขึ้นมา ในตอนที่ผลการฝึกตนยังต่ำอยู่ คนที่ฝึกตนด้วยกฎหลายชนิดนั้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่หายากแต่อย่างใด แต่โดยทั่วไปเมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมารไปแล้ว นักยุทธ์ทุกคนต่างจะบำเพ็ญหลักด้วยกฎชนิดเดียว กำหนดเส้นทางโลกยุทธ์ของตนเอง
อย่างที่ทราบกันดีว่า การเพิ่มระดับแดนกฎนั้นเป็นเรื่องยากมาก ฝึกตนกฎหนึ่งชนิดยังทำให้อัจฉริยะไร้เทียมทานต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจทั้งชีวิต ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะไปไม่ถึงจุดสูงสุด นับประสาอะไรกับกฎสองชนิด?
จู้เทียนหลงเบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้ เขาคิดว่ากฎน้ำแข็งของผู้หญิงคนนี้บรรลุถึงแดนกฎดั้งเดิมขั้นที่หกแล้ว คาดไม่ถึงว่ากฎธาตุไฟของนาง ก็เป็นขั้นที่หกเช่นกัน!
เขาเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลจู้ อันดับที่หนึ่งของของรุ่นหลัง ผลการฝึกตนอยู่ที่แดนกึ่งมกุฎเทพ ส่วนตระกูลจู้นั้นยังมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านของการฝึกตนกฎเพลิงอัคคี แดนกฎของเขา ก็ยังไม่เกินกฎดั้งเดิมขั้นห้าช่วงปลายเท่านั้น
“พรสวรรค์ที่น่าสะพรึงเช่นนี้ หรือว่านี่จะเป็นพลังของอัจฉริยะแห่งโลกาชั้นฟ้า?” จู้เทียนหลงรู้สึกว่าความมั่นใจของเขาถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ย่อยยับจนแทบไม่มีที่ยืน
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงหลิวเทียนลู่ที่มาจากมหาโลกายอดอัมพร เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนนี้ที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน หลิวเทียนลู่นั้นมีระดับสูงกว่ามาก ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเปรียบเทียบทั้งสองคน จู้เทียนหลงกลับรู้สึกว่า หลิวเทียนลู่พ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนนี้อย่างราบคาบ
สิ่งนี้ทำให้จู้เทียนหลงเข้าใจว่า เป็นอัจฉริยะของโลกาชั้นฟ้าเหมือนกัน ก็ยังมีการแบ่งชนชั้นสูงต่ำ พรสวรรค์ของหลิวเทียนลู่เมื่ออยู่ในโลกามนุษย์เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด แต่หากอยู่ที่โลกาชั้นฟ้า บางทีอาจจะเป็นแค่ระดับทั่วไปเท่านั้น
เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า คำพูดนี้ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่เข้าใจดีทั้งนั้น แต่มีเพียงวินาทีที่ตนได้สัมผัสมันด้วยตนเองเท่านั้น จึงทำให้จู้เทียนหลงรู้สึกว่าตนเองนั้นตัวเล็กเท่าเม็ดทรายจริง ๆ
เหตุการณ์อันแปลกประหลาดเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเสิ่นปิงหยูสำแดงวิชาอัคคีเยือกมหาวาล วิชาห้ามค่ายกลของตำหนักปีศาจเพลิงก็ถอยกลับออกไปเอง ปล่อยให้ร่างของนางก้าวเข้าไปข้างหน้า โดยไม่มีโจมตีแต่อย่างใด
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนทั้งตกใจและประหลาดใจ เนื่องจากเหตุผลที่ไม่รู้จึงทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น นั่นก็เพราะว่าวรยุทธ์ที่เสิ่นปิงหยูฝึกตน เป็นสิ่งที่จักรพรรดิเทพมหาวาลทิ้งเอาไว้ ตัวต้องห้ามของตำหนักปีศาจเพลิงก็เป็นสิ่งที่จักรพรรดิเทพมหาวาลได้ทิ้งเอาไว้ ย่อมไม่มีทางทำร้ายนางได้อยู่แล้ว
ในส่วนที่หลัวซิวใช้พลังมหาศาลผลักประตูใหญ่ของตำหนักปีศาจเพลิงนั้นก็แตกต่างกันออกไป ร่างของเสิ่นปิงหยูทะลุเข้าไปยังประตูใหญ่ของตำหนักปีศาจเพลิงและหายไปอย่างไรร่องรอย
ราวกับว่า ตำหนักปีศาจเพลิงมันดำรงอยู่เพื่อนางอยู่แล้ว ทุกคนที่มาจากกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่ในที่แห่งนี้ พูดตามตรงก็คือมาเสียเที่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย
วินาทีที่เสิ่นปิงหยูเข้าไปในตำหนักปีศาจเพลิง ดวงตาคู่งามของนางก็พลันเลิกขึ้นเล็กน้อย เพราะนางเห็นว่าภายในตำหนักปีศาจเพลิง กลับมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวที่กำลังใช้ค่ายกลกลั่นปีศาจสกัดแก่นสารกฎดั้งเดิมของปีศาจเพลิงอยู่นั้น วินาทีนั้นก็พลันหันหน้ากลับมามองทันที จึงเห็นเสิ่นปิงหยูที่เดินเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสิ่นปิงหยูมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขากำลังสกัดแก่นสารกฎดั้งเดิมของปีศาจเพลิงอยู่ นี่เป็นภารกิจฝึกตนที่โลกามนุษย์ครั้งนี้ของนาง จะให้ปู้อื่นชิงไปได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้นเสิ่นปิงหยูจึงดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ ก้าวขึ้นไปด้านหน้าและลงมือเต็มกำลัง อัคคีเยือกกฎสองชนิดพันเข้าด้วยกัน กลายเป็นดาบแห่งอัคคีเยือก ยาวนับสิบจั้ง ฟาดฟันลงมา
“วิชาแห่งอัคคีเยือกมหาวาล ทายาทของจักรพรรดิเทพมหาวาล?”
หลัวซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่าตนเพียงคิดถึงถึงการใช้การสืบทอดของจักรพรรดิเทพมหาวาลเพื่อสกัดพลังแห่งแก่นสารปีศาจเพลิง จักรพรรดิเทพมหาวาลทายาทที่แท้จริงก็มาเสียแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงเสียด้วย……