“ระ……หรือว่านี่คือกฎลดเวลาในตำนาน?”ฉีเตียหลงนึกความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาได้ภายในเวลาชั่วพริบตา เบิกตากว้าง เผยให้เห็นความหวาดกลัวและหวาดผวาอย่างหาที่สุดไม่ได้
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาฝึกกฎชั้นยอดอย่างเวลาและปริภูมิพร้อมกันอย่างนั้นหรือ? ใต้หล้านี้จะมีคนเช่นนั้นอยู่ได้อย่างไร?
กฎชั้นยอดเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้คนคนหนึ่งถูกเรียกว่าบุคคลทรงอำนาจในนักยุทธ์แดนเดียวกันแล้ว เนื่องจากระดับความยากในการฝึกกฎชั้นยอดนั้นยากมาก ๆ เพราะฉะนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเทพส่วนมากจึงฝึกแค่กฎทั่วไป ในประวัติศาสตร์ของตระกูลฉีก็เคยมีอัจฉริยะที่มั่นใจในตัวเองลองฝึกกฎชั้นยอดเช่นกัน ทว่ามากสุดก็แค่ฝึกถึงแดนเทพมารเท่านั้น ก็จะไม่มีการพัฒนาใด ๆ อีกเลย
ราชาเทพที่ฝึกกฎปริภูมิเพียงคนเดียวก็หาพบได้น้อยมาก ๆ แล้ว ราชาเทพที่ฝึกปริภูมิและเวลาพร้อมกัน มาตรแม้นว่าอยู่ในมหาโลกพันสาม ผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็คงมีเพียงไม่กี่คนหรอกกระมัง?
ฉีเตียหลง ณ วินาทีนี้ตกตะลึงถึงขีดสุด หากเขาทราบตั้งแต่แรกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้เก่งกาจดุจปีศาจที่น่าสยดสยองละก็ เขาไม่มีทางรุกรานคนประเภทนี้แน่นอน
ภายใต้ผลกระทบจากกฎลดเวลา ความเร็วในการเคลื่อนที่เขาภาคภูมิใจเปลี่ยนเป็นความเร็วที่เคลื่อนที่เหมือนเต่า
เงาร่างของหลัวซิวปรากฏตรงหน้าฉีเตียหลง ฝ่ายตรงข้ามได้รับผลกระทบ ทว่าความเร็วของเขากลับไม่ถูกกระทบเลยแม้แต่น้อย
เวิง!
ง้างหอกยุทธ์มังกรดำขึ้นมา แทงเข้าไปกลางหว่างคิ้วฉีเตียหลง เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีดังกล่าว ฉีเตียหลงอยากต้านทานอย่างสุดชีวิต ทว่ากิริยาท่าทางของร่างกายเขากลับช้าลงหลายเท่าตัวมาก
ฟึ่บ!
หว่างคิ้วของเขาถูกแทงจนทะลุภายในชั่วพริบตาเดียว ช่องจิตหนึ่งดวงก็ถูกหลัวซิวงัดออกมา อสูรดูดจิตโบราณที่เหมือนดั่งสัตว์เลี้ยงวิญญาณที่เกาะอยู่บนไหล่อ้าปากแล้วดูดทีหนึ่ง มันก็กลืนช่องจิตดวงดังกล่าวลงท้องไปแล้ว
ตั้งแต่อยู่ในดาราแห่งกาลเวลาจนกระทั่งถึงบัดนี้ จำนวนราชาเทพที่หลัวซิวสังหารไปก็มีไม่น้อยแล้ว ซึ่งภายในจำนวนทั้งหมดไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งมกุฎเทพ อสูรดูดจิตโบราณระดับเทพฟ้ากลืนกินช่องจิตไปมากขนาดนี้ มันก็ค่อย ๆ เอื้อมถึงจุดที่ใกล้จะบรรลุและวิวัฒนาการแล้ว
“ศิษย์พี่เย่ ท่าน……”
ฉียู่หรงที่อยู่ข้าง ๆ มองดูจนเหม่อลอยไปแล้ว ทุก ๆ ครั้งนางมักจะรู้สึกว่าตนเองประเมินศักยภาพของคนดังกล่าวสูงมาก ๆ แล้ว แต่ทว่าผลลัพธ์แท้จริงในทุก ๆ ครั้งกลับยังทำให้นางรู้สึกช็อกมากอยู่ดี
นางไม่ทราบแต่อย่างใดว่าทุกคนที่เคยคบค้าสมาคมกับหลัวซิวล้วนรู้สึกเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่พวกเขารู้สึกว่าตนเองเข้าใจศักยภาพของหลัวซิวดีแล้ว จากนั้นพวกเขาก็มักจะค้นพบว่าสิ่งที่พวกเขาเข้าใจ กลับไม่ใช่ศักยภาพทั้งหมดของหลัวซิวตลอดมา
รวมไปถึงบัดนี้ ศักยภาพที่หลัวซิวแสดงออกมาตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งถึงบัดนี้ ก็ไม่ใช่ศักยภาพทั้งหมดของเขาเช่นกัน
“แม่นางฉี รูปร่าง ณ บัดนี้ของเจ้างดงามกว่าอดีตมาก ๆ ”หลัวซิวยิ้มพลางพูด
การฆ่าคนไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเขาแล้ว ในระหว่างที่โบกมือเขาก็โยนเปลวไฟสองก้อนออกไปแผดเผาศพจนสลายหายไป เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนยังไงอย่างนั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว บนใบหน้าที่เรียวบางของฉียู่หรงจึงแดงระเรื่อขึ้นมา ก่อนที่นางจะพูดกดเสียงต่ำ: “ขออภัยด้วยนะศิษย์พี่เย่ อดีตข้าถูกบีบให้จำใจต้องทำเช่นนั้น”
สาเหตุที่นางกล่าวขอโทษนั้น ต้องเป็นเพราะนางไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนต่อหลัวซิวครั้นเมื่ออยู่ในดาราแห่งกาลเวลาอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ข้ารู้สึกสงสัยมาก ๆ ในเมื่อแม้แต่ข้าเองก็ยังดูวิธีการแปลงโฉมของเจ้าไม่ออก เหตุใดนางฉีชวงชวงนั่นถึงสามารถเจอตัวเจ้าติดต่อกันสองครั้งได้?”หลัวซิวถามอย่างรู้สึกสงสัยคำหนึ่ง
เขาไม่ได้โทษที่ฉียู่หรงปิดบังหน้าตาหลอกตัวเอง เนื่องจากเขาเองก็ทำเช่นเดียวกันมิใช่หรือ?
“เป็นเพราะข้าประมาทมากเกินไป ข้าคิดว่าหลังจากแปลงโฉมแล้วทุกอย่างก็จะจบ แต่ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงคือผู้คนในตระกูลฉีสามารถใช้สายเลือดมาผนึกออร่าและตำแหน่งของข้าได้”ฉียู่หรงพูดด้วยใบหน้าที่ขมขื่น
ราวกับว่านางไม่อยากพูดถึงคำถามนี้มากเท่าไหร่นัก จึงก้มคำนับให้หลัวซิวแล้วพูด: “ครั้งนี้ขอบพระคุณศิษย์พี่เย่มาก ๆ ที่ช่วยชีวิตข้าไว้อีกครั้ง ยู่หรงมีข้อเรียกร้องหนึ่งอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล หวังว่าศิษย์พี่จะสามารถช่วยเหลือข้าได้”