พลานุภาพของดาราที่หลัวซิวผนึกรวมขึ้นมาเองไม่ได้ทรงพลังมากเท่าไหร่นัก เทียบเท่าราชาแห่งศัสตราวุธ แต่ทว่าท่าไม้ตายสำคัญที่แฝงซ่อนอยู่ภายในกลับเป็นดาราโบราณมกุฎเทพ!
เงาลวงของดาราโบราณมกุฎเทพทั้ง 18 ดวงปรากฏออกมาพร้อมกัน ภายในนั้นมี 17 ดวงที่เป็นเงาลวง และมีเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่เป็นแก่นแท้ เนื่องจากแดนผลการฝึกตนของเขามีไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นจึงกระตุ้นแก่นแท้ของดาราโบราณมกุฎเทพได้เพียงดวงเดียวเท่านั้น
“ตู้ม!”
ภายใต้พลานุภาพอันทรงพลังที่ดาราโบราณมกุฎเทพดวงนี้ปะทุออกมา หอคอยเขียวจึงกระเด็นออกไปภายในพริบตา ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ฉีเฉียวซานก็ถูกพลังแว้งกัดเช่นกัน สีหน้าเปลี่ยนไป ตัวหยั่งรู้เจ็บปวดอย่างรุนแรง
ดาราสีดำขนาดใหญ่ดวงหนึ่งกดอัดลงมา ฉีเฉียวซานสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์แห่งความตายที่เข้มข้นได้ภายในชั่วพริบตา ตกตะลึงจนอกสั่นขวัญหาย
“ของขลังระดับจ้าวมหาเทพ!”
ฉีเฉียวซานตะลึงจนหน้าถอดสี ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถปลดปล่อยพลังอานุภาพทั้งหมดของของขลังจ้าวมหาเทพออกมาได้ แต่ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างแน่นอน
เขารีบโคจรผลการฝึกตนที่อยู่ภายในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง กฎธาตุลมที่นับไม่ถ้วนคำรามแล้วม้วนซัดไปทางดาราโบราณมกุฎเทพ
ในขณะที่โคจรผลการฝึกตนเพื่อต้านทานดาราโบราณมกุฎเทพอยู่นั้น หอคอยเขียวที่อยู่ภายใต้การกระตุ้นของฉีเฉียวซานก็บินตรงมาจากที่ไกลเช่นกัน กดอัดไปทางหลัวซิวพร้อมเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ใช้ผลการฝึกตนของมกุฎเทพควบคุมศัตราวุธราชา พลังแห่งการกดอัดของหอคอยเขียวน่าสยดสยองและเกะกะระรานอย่างแน่นอน
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงแม้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งมาก ๆ แต่ทว่าหากถูกหอคอยเขียวโจมตีเข้าละก็ เขาก็ต้านทานไม่ไหวอย่างแน่นอน
“ไปตายซะเถอะ!”
หลัวซิวตัดสินใจเด็ดขาดในใจ มองข้ามหอคอยเขียวที่กดอัดมานั่น แต่เป็นการกระตุ้นดาราโบราณมกุฎเทพสุดกำลังสามารถ วางแผนที่จะสังหารฉีเฉียวซานก่อน
“ฟึ่บ!”
ภายใต้การกดอัดจากดาราโบราณมกุฎเทพ กฎธาตุลมพากันแตกสลายไป แขนข้างหนึ่งของฉีเฉียวซานระเบิดแตกออกเป็นหมอกเลือดโดยตรง จึงทำให้เขาเบิกตากว้างแล้วกรีดร้องอย่างน่าเวทนา
โครมคราม……
พื้นดินบริเวณหนึ่งพันไมล์โดยรอบถูกดาราโบราณมกุฎเทพทำลายล้าง จนมีหลุมขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นก้นหลุมปรากฏหนึ่งหลุม
ในส่วนของฉีเฉียวซานนั้น ภายใต้อานุภาพที่น่ากลัวของดาราโบราณมกุฎเทพ ทำให้ร่างเขาแหลกสลายคาที่ กลายเป็นหมอกเลือดหนึ่งก้อน
หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้า ช่องจิตสีเขียวดวงหนึ่งก็ถูกเขาเก็บไป สีเขียวเป็นตัวแทนของกฎธาตุลม ส่วนสีทองนั้นเป็นตัวแทนของแดนมกุฎเทพ
แดนแห่งมกุฎเทพ ภายในคำดังกล่าวประกอบด้วยคำว่ามกุฎหนึ่งคำ ซึ่งมีความสูงศักดิ์เป็นความหมายแฝง ช่องจิตที่ผนึกรวมขึ้นมาก็มีสีทองปนอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นตัวแทนของความแตกต่างไม่เหมือนผู้ใด
เมื่อกำช่องจิตดวงดังกล่าวไว้ในมือ หลัวซิวก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของอสูรดูดจิตโบราณที่เกาะอยู่บนไหล่
ดวงตาสีแดงเถือกคู่หนึ่งกำลังจ้องเขม็งไปทางช่องจิตดวงนั้น หากไม่ใช่เพราะไม่มีคำสั่งของหลัวซิว มันคงกระโจนขึ้นมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นตั้งนานแล้ว
“ก็ใกล้จะถึงเวลาที่เจ้าควรบรรลุสู่แดนราชาเทพได้แล้วนะ”หลัวซิวอมยิ้มพลางยกมือขึ้นไป นำช่องจิตดวงนี้ใส่เข้าไปในปากของอสูรดูดจิตโบราณ
ในความเป็นจริงถ้าหากเขากลั่นแปรช่องจิตดวงนี้ละก็ ต้องสามารถทำให้ตัวสำนึกวิญญาณของเขาได้รับการยกระดับอย่างมากแน่นอน แต่ทว่าถึงแม้จะยกระดับตัวสำนึกได้แล้ว สำหรับการยกระดับศักยภาพโดยรวมนั้นก็มีขีดจำกัดอยู่
แต่ถ้าหากให้อสูรดูดจิตโบราณกินละก็ กลับเพียงพอที่จะสามารถทำให้มันบรรลุถึงแดนราชาเทพได้แล้ว
หอคอยเวทย์สีเขียวหดลงจนขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ หลัวซิวถือมันไว้ในมือพลางกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ศัตราวุธราชาชิ้นหนึ่ง บวกกับแหวนเก็บของของผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพคนหนึ่ง ดอกผลนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย
จากศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ ทำให้หลัวซิวมองเห็นช่วงระยะความต่างระหว่างตนกับผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพ ทว่าความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นเช่นกันว่าหากใช้ไพ่เด็ดใบสุดท้ายละก็ เขามีกำลังรบในการสังหารมกุฎเทพทั่วไปได้อยู่
อีกทั้งเขายังไม่ได้ใช้ไพ่เด็ดใบสุดท้ายอย่างตำหนักวัฏสงสารในการต่อสู้ในครั้งนี้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสมบัติที่กลายมาจากชิ้นส่วนของวัฏสงสารโบราณที่ทลายสูญสิ้นแล้วเชียวนะ จากผลการฝึกตน ณ บัดนี้ของเขาสามารถกระตุ้นร่างแท้ของดาราโบราณมกุฎเทพ กลับยังไม่สามารถกระตุ้นร่างแท้ของตำหนักวัฏสงสารได้ ทำได้เพียงเรียกเงาสะท้อนของมันออกมาเท่านั้น