ในส่วนของแก้วเทวชั้นกลางนั้น หลัวซิวมีมากมายก่ายกองเลย ทว่าผู้คนในนี้ไม่ต้องการมันเลยด้วยซ้ำ ต้องการเพียงชั้นสูง ไม่รับชั้นกลาง ยอมไม่มีดีกว่าลดมาตรฐานเพื่อให้ได้เต็ม
ถัดจากนั้นหนิงหานยู่ก็อธิบายความแตกต่างของป้ายบัญชาการขึ้นเรือสีเงินและสีทองแดงต่อ
ป้ายบัญชาการขึ้นเรือสีเงินก็มีห้องพักเดี่ยวเช่นกัน แต่ทว่าพื้นที่ในห้องพักจะค่อนข้างกว้าง ไม่สามารถพาคนอื่น ๆ ติดตามไปด้วย อีกทั้งมูลค่าก็ไม่ต่ำด้วย ต้องการแก้วเทวชั้นสูงสองล้านชิ้น
และป้ายบัญชาการขึ้นเรือที่ถูกที่สุดก็คือสีทองแดง ทุกคนจะได้รับที่นั่งเพียงหนึ่งตำแหน่งในห้องโถงใหญ่ มูลค่าคือแก้วเทวชั้นสูงแปดแสนชิ้น แต่ทว่าสามารถซื้อได้ด้วยแก้วเทวชั้นกลางในราคาที่เท่ากัน
“ช่างแพงเสียจริง”หลัวซิวลูบ ๆ แหวนเก็บของของตัวเอง เดิมทีเขาคิดว่าตอนนี้ตัวเองก็ถือว่ามีทรัพย์สินที่มั่งคั่งแล้ว แต่ถ้าเกิดนั่งเรืออนัตตา เกรงว่าคงต้องกลับไปเป็นคนยากจนอีกครั้งแล้วล่ะ
ไม่ต้องนึกถึงสีทองและสีเงินเลย เนื่องจากรับเพียงแก้วเทวชั้นสูง นั่นเป็นสถานที่ที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพเท่านั้นที่มีปัญญานั่ง
คนขายป้ายบัญชาการขึ้นเรือคือผู้อาวุโสที่ไว้หนวดแพะคนหนึ่ง เมื่อเห็นหลัวซิวทั้งสามคนเดินตรงมา เขาจึงกวาดตามองอย่างเย็นชารอบหนึ่งแล้วพูด: “ป้ายบัญชาการขึ้นเรือสีทองหมดแล้ว เหลือเพียงป้ายขึ้นเรือสีทองแดง ยังเหลืออีกสี่ที่นั่ง”
“ป้ายบัญชาการขึ้นเรือสีทองแดงสามชิ้น”หลัวซิวยื่นแหวนเก็บของวงหนึ่งไปพลางพูด ในขณะเดียวกันเขายิ่งเดาะลิ้นเพราะความตะลึงในใจ ป้ายบัญชาการขึ้นเรือสีทองขายหมดแล้วอย่างนั้นหรือ ดูท่าคนรวยที่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยในใต้หล้านี้มีไม่น้อยจริง ๆ ตนเองยังห่างไกลจากคนเหล่านั้นมาก ๆ
ผู้อาวุโสหนวดแพะรับแหวนเก็บของมา ใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจรอบหนึ่ง ยืนยันว่าภายในมีแก้วเทวชั้นกลางสองพันสี่ร้อยล้านชิ้น จากนั้นเขาจึงหยิบป้ายบัญชาการขึ้นเรือสีทองแดงออกมาสามชิ้นด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
หากเปลี่ยนไปสถานที่อื่น เมื่อมีคนคนหนึ่งนำแก้วเทวชั้นกลางสองพันสี่ร้อยล้านชิ้นออกมา ต้องทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงได้อย่างแน่นอน ทว่าที่นี่คือยอดเขาคุนหลุน ทรัพย์สินแค่นี้กลับไม่ถือเป็นจำนวนที่มากมายด้วยซ้ำ
ข่าวคราวที่หนิงหานยู่สืบเสาะมาได้นั้นไม่มีผิดเลยสักนิด หลังจากผ่านไปห้าชั่วโมง เรืออนัตตาของมหาโลกายอดอัมพรก็มาถึงยอดเขาของภูเขาคุนหลุนเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากปริมาตรของเรืออนัตตาใหญ่โตมากเกินไป เพราะฉะนั้นจึงเผยให้เห็นส่วนเล็ก ๆ ตัวเรือเท่านั้น มีลำแสงหนึ่งสาดส่องลงมาแล้วกลายเป็นบันได
“พี่เย่ ข้ายังสืบมาได้ด้วยว่าระหว่างทางเรืออนัตตาได้เดินทางผ่านโลกาอีกหลายใบ เพราะฉะนั้นผู้คนที่อยู่บนเรือจึงล้วนมาจากโลกาที่แตกต่างกันออกไป”หนิงหานยู่เดินอยู่ข้างกายหลัวซิวพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“อีนังหนูข่าวคราวที่เจ้าสืบเสาะมาได้นั้นไม่น้อยเลยนี่”หลัวซิวยื่นมือออกมาขยี้ผมของนางพลางยิ้มพลางพูด
เขาชอบสาวน้อยหนิงหานยู่คนนี้มาก ๆ แน่นอนอยู่แล้วความชอบนี้ไม่ใช่ความชอบระหว่างชายหญิงแต่อย่างใด แต่เป็นความรู้สึกชอบที่เป็นทำนองเดียวกันกับน้องสาว
เมื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกระมัดระวังตัวมากเกินไปเมื่อฉียู่หรงเผชิญหน้ากับตน ในทางตรงกันข้ามหนิงหานยู่กลับเป็นตัวของตัวเองมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา น่ารักแบบพิลึก ทว่ากลับรู้จักคิดมาก ๆ
ผู้คนที่ขึ้นเรือนั้นมีเยอะมาก ๆ หลัวซิวทั้งสามคนที่เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนดูไม่โดดเด่นอะไรด้วยซ้ำ
หลังจากขึ้นเรืออนัตตาแล้ว ผู้คนที่ถือป้ายบัญชาการขึ้นเรือสีทองแดงสามารถเข้าไปได้เพียงห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่งในห้องผู้โดยสารเรือ พื้นที่ภายในห้องโถงใหญ่นี้กว้างใหญ่มาก ๆ มีผู้คนจำนวนมากนั่งกันอย่างแน่นหนา พลังออร่าทุกรูปแบบปะปนอยู่ด้วยกัน ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากเขาไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่เสียงดังเช่นนี้มาก ๆ
หนิงหานยู่และฉียู่หรงต่างก็ไม่ค่อยคุ้นเคยเช่นกัน เนื่องจากที่นี่แทบจะไม่มีผู้หญิงเลย ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกนางหญิงสาวทั้งสองคน จึงดึงดูดสายตาของคนจำนวนมากในทันที
แม้จะใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปแล้ว แต่ทว่าผู้ที่อยู่บนเรืออนัตตาล้วนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ตัวสำนึกของพวกเขาล้วนสามารถมองทะลุโฉมหน้าที่ปกปิดเอาไว้ของพวกนางได้
ในส่วนของวิชาการแปลงโฉมเมื่อครั้งก่อนของฉียู่หรงที่แม้แต่หลัวซิวยังมองไม่ทะลุนั้น เป็นวิชาที่ร่ายมาจากของขลังชนิดหนึ่งที่ใช้แล้วทิ้ง ซึ่งในมือนางก็ไม่มีสมบัติประเภทนั้นเป็นชิ้นที่สองแล้ว