“นี่คือ?”หนิงหานยู่นำตัวสำนึกแผ่เข้าไปสำรวจภายในม้วนหยก ก่อนจะมองไปทางหลัวซิวด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“พวกนางคือเพื่อนผู้ยุทธ์ของข้า เนื่องจากเหตุผลบางอย่างจึงแยกจากกับข้าไป หากมีความเป็นไปได้ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยข้าสืบเสาะข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับพวกนางหน่อย ทว่าโปรดระวังด้วยว่าอย่าให้ผู้อื่นทราบว่าเจ้ากำลังสืบเสาะข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับพวกนางเป็นอันขาด มิเช่นนั้นมันจักนำพาภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ สู่เจ้า”หลัวซิวพูดกระแทกเสียงต่ำ
หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าศักยภาพของตัวเอง ณ บัดนี้ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับสำนักเซียนเทียนหยุนได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงใช้ทุกวิถีทางเพื่อสืบเสาะข่าวคราว
หนิงหานยู่เป็นยัยหนูที่ฉลาดคนหนึ่ง เมื่อได้ฟังคำพูดของหลัวซิวแล้ว นางจึงพยักหน้าอย่างเข้มงวดมาก ๆ แต่ภายในแววตากลับมีความหดหู่เล็กน้อยกระพริบผ่านไป
“พี่เย่มีเพื่อนผู้ยุทธ์แล้วหรือ? อีกทั้งยังมีเพื่อนผู้ยุทธ์สองคนด้วย?”
ไม่เพียงแค่หนิงหานยู่คนเดียวเท่านั้น ภายในจิตใจฉียู่หรงก็หดหู่เล็กน้อยเช่นกัน หลังจากผ่านการอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับผู้ชายอย่างเย่ห้าวหรานที่ลึกลับและแข็งแกร่งคนนี้ ในฐานะที่เป็นผู้หญิง พวกนางรู้สึกตื่นเต้นหวั่นไหวจนควบคุมตัวเองไม่ได้และเกิดความรักความห่วงใยต่อเขาเล็กน้อยแล้ว
จู่ ๆ ภายในห้องก็เงียบสงบลงไปเล็กน้อย ในช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน หลัวซิวต้องสามารถสัมผัสได้อยู่แล้วว่าผู้หญิงทั้งสองคนนี้มีความรักความห่วงใยต่อตนเองเล็กน้อย ทว่าเขาแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้นแหละ ครั้งนี้สาเหตุที่เขาพูดเรื่องที่ตนมีเพื่อนผู้ยุทธ์ออกมานั้น ก็เป็นการป้องกันไม่ให้ความรู้สึกของพวกนางที่มีต่อตนเองยิ่งอยู่ยิ่งถลำลึก
หลัวซิวไม่อยากแบ่งความสนใจไปที่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอีกแล้ว แม้แต่เยว่เอ๋อร์และซีโรว่เขายังปกป้องได้ไม่ดี แล้วจะไปปกป้องคนอื่น ๆ อีกได้อย่างไรเล่า?
ถึงแม้เขาจะมีศักยภาพและพรสวรรค์ที่สูงมาก ๆ ก็ตาม แต่ทว่าสุดท้ายแล้วศักยภาพของเขาก็อ่อนแอมากเกินไป เมื่ออยู่ในมหาโลกาพันสามที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขตนี้ เขาไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ ผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพทุกคนแค่ยกมือก็สามารถสังหารเขาภายในเสี้ยววินาทีแล้ว
“พี่เย่ ท่านจะแยกจากกับพวกข้าแล้วหรือ?”จู่ ๆ หนิงหานยู่ที่กำลังก้มหน้าก็พูดขึ้นมาคำหนึ่ง ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบไป
เมื่อฉียู่หรงได้ยินคำพูดดังกล่าว ร่างที่อ่อนช้อยนั่นก็สั่นระริกเล็กน้อย ไม่พูดอะไรและไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“ยัยเบื๊อก ข้าจะทิ้งพวกเจ้าแล้วไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?”หลัวซิวหัวเราะอย่างปลง จากผลการฝึกตนที่ไม่สูงบวกกับตัวตนผู้บำเพ็ญเซียนหญิงผู้งดงามของพวกนาง การมีชีวิตรอดอยู่ในมหาโลกายอดอัมพรนั้นเป็นอะไรที่ลำบากมาก
เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงเข้าใจดีมากว่าหากเขาไม่สนใจใยดีหญิงสาวทั้งสอง เช่นนั้นหญิงสาวทั้งสองคนนี้ก็มีโอกาสถูกโลกอันโหดเหี้ยมกลืนกินจนไม่เหลือซากสูงมาก ๆ
“จริงหรือ?”เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวไม่มีความคิดที่จะทอดทิ้งตนเองและพี่สาว หนิงหานยู่จึงเงยหน้าขึ้นมาทันที ใบหน้าที่หดหู่กลับมาเปล่งปลั่งด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
เมื่อเห็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้ที่ตินั่นของนางแล้ว หลัวซิวจึงชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคำพูดที่ตนเองพูดออกมาเมื่อครู่นี้มันถูกต้องผิด
สลัดความคิดยุ่งเหยิงเหล่านี้ทิ้ง หลัวซิวปรับสภาพอารมณ์ก่อนจะพูด: “ข้าวางแผนจะไปแดนเทวนิรันกาลสักเที่ยว ผลการฝึกตนของพวกเจ้าค่อนข้างต่ำ ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงวางแผนที่จะไปคนเดียว ก่อนข้าจะจากไป ข้าจะหาสถานที่ที่ปลอดภัยให้พวกเจ้าฝึกตน ตราบใดที่ข้ายังไม่กลับมา อย่าได้ออกไปเพ่นพ่านข้างนอกตามอำเภอใจ”
แม้ไม่อยากจากกับหลัวซิว แต่ไม่ว่าจะเป็นฉียู่หรงหรือหนิงหานยู่ที่นิสัยพิลึกต่างก็รู้อยู่ว่าที่หลัวซิวพูดมานั้นเป็นความจริง หากดึงดันที่จะไปพร้อมเขาละก็ ไม่เพียงช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามยังจะกลายเป็นตัวถ่วงของเขาอีก
ต้องท้าวความก่อนว่าที่นี่คือโลกาชั้นฟ้าเชียวนะ ยอดฝีมือของที่นี่มีมากจนนับไม่ถ้วน มาตรแม้นว่าเป็นพี่เย่ท่านนี้ที่เป็นผู้แข็งแกร่งในใจตน เมื่อมองในมุมมหาโลกาพันสามที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้ว การที่เขาสามารถเอาตัวรอดได้นั้นก็ถือว่าไม่เลวมาก ๆ แล้ว เขายากที่จะแบ่งความสนใจมาดูแลพวกนางอีก
เวลานับต่อจากนี้เป็นต้นไป หลัวซิวล้วนฝึกตนปิดขังอยู่ในโรงเตี๊ยมมาโดยตลอด อาศัยแดนค่ายกลของเขา มาตรแม้นว่าเป็นตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพ ก็ไม่สามารถสอดแนมเข้ามาในสถานการณ์ที่เขาไม่รู้สึกตัว