“เจ้าหมายถึงแม่นางหงเฟยหรือ? นางเป็นศิษย์ในสำนักเซียนเทียนหยุนเชียวนะ เล่ากันว่าอาจารย์ของนางยิ่งเป็นเจ้าสำนักน้อยเทพธิดาเซี่ยหาน ในส่วนของชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้น ความเป็นมาของเขายิ่งใหญ่โตกว่ามาก เป็นศิษย์ใจกลางของหอยอดอัมพร เซียวเฟย!”นักยุทธ์วัยกลางคนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม
“ในหมู่คนรุ่นใหม่ ผู้คนที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวแม่นางหงเฟยมีเยอะมาก น้องชายเจ้าคงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ”ราวกับว่านักยุทธ์วัยกลางคนจะเข้าใจบางอย่างผิด พูดพลางมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเจ้าเข้าใจความคิดข้าอยู่
สีหน้าของหลัวซิวหม่นหมองลงไปภายในพริบตา สำหรับผู้ชายทุกคนแล้ว เมื่อได้ยินว่าภรรยาของตนเองถูกผู้คนจำนวนมากตามจีบและเลื่อมใสศรัทธา ทุกคนก็ต้องไม่พอใจกันทั้งนั้นแหละ
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องเหล่านี้แล้ว สิ่งที่หลัวซิวใส่ใจมากกว่ากลับเป็นเรื่องที่ว่าเหตุใดเหยียนเยว่เอ๋อร์ถึงกลายเป็นศิษย์ของหลิวเซี่ยหานได้?
ไม่รู้เพราะเหตุใด ขณะที่มองเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ในเมื่อครู่นี้ หลัวซิวก็มีความรู้สึกแปลก ๆ อย่างหนึ่ง ราวกับว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยแล้ว
แล้วก็เหยียนซีโรว่อีก เหยียนเยว่เอ๋อร์ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แล้วซีโรว่อยู่ที่ใด?
ภายในใจมีความสงสัยต่าง ๆ นานา หลัวซิวถึงกับอยากไปหาเหยียนเยว่เอ๋อร์เพื่อถามทุกอย่างให้ชัดเจน แต่เขากลับระมัดระวังมาก ๆ เนื่องจากมูลเหตุของเศษใจแห่งศุภร เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าตัวเองถูกหลิวเซี่ยหานหมายตาไว้แล้ว
ทันทีที่ตัวตนของเขาเปิดเผย เช่นนั้นสิ่งที่รอคอยเขาต้องเป็นการไล่ล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากสำนักเซียนเทียนหยุนแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงคารวะให้แก่ชายวัยกลายคนที่ตนสอบถาม ก่อนจะรีบย่างเท้าเดินตรงไปยังประตูใหญ่ของงานประมูล
“ท่านผู้อาวุโสจะเข้าร่วมการประมูลหรือฝากประมูลของขอรับ?”
ทันทีที่เดินเข้าไปภายในงานประมูล ก็มีคนรับใช้เดินหน้ามาต้อนรับ แล้วถามอย่างเคารพนอบน้อม
คนรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นทาส ผลการฝึกตนทั่วไปไม่สูง แต่ถึงแม้จะเป็นทาสรับใช้ในงานประมูลดาราจันทราก็มีผลการฝึกตนเทพมารเช่นกัน
เทพมารที่เป็นผู้สูงศักดิ์ในพิภพต่ำ เมื่ออยู่ที่นี่กลับทำได้เพียงตกเป็นทาสรับใช้ ซึ่งนี่ก็คือโลกยุทธ์ที่ระดับเข้มงวด!
“ข้ามาเข้าร่วมงานประมูล และมีความคิดที่จะฝากประมูลสิ่งของบางอย่างเช่นกัน”หลัวซิวตอบกลับ
“ท่านผู้อาวุโสเชิญตามข้ามาเลยขอรับ”คนรับใช้ก้มคำนับ ก่อนจะเดินนำทางอยู่ข้างหน้า พาหลัวซิวไปถึงภายในห้องที่มีป้ายคำว่าหอประเมินอัญมณีแขวนไว้
หลังจากเปิดประตูเข้าไปแล้ว ภายในห้องมีโต๊ะหนึ่งตัว บนโต๊ะมีไม้จันทน์จุดอยู่ ทำให้ทั่วทั้งห้องมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตลบฟุ้ง เพียงสูดดมก็สามารถทำให้คนได้กลิ่นรู้สึกหัวสมองโล่ง
ด้านหลังโต๊ะมีผู้อาวุโสผมเผ้าขาวหงอกคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา เขาจึงขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เนื่องจากผู้ที่เดินเข้ามาเป็นนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนเพียงเทพฟ้าเท่านั้น
นักยุทธ์เทพฟ้าคนหนึ่งจะมีสมบัติอะไรได้บ้างเล่า?
“เจ้าหนู ใช่ว่าจะสามารถนำของทุกอย่างมาฝากประมูลในงานประมูลดาราจันทราได้นะ หากเจ้าไม่นำสิ่งของที่สามารถทำให้ข้าพึงพอใจออกมาได้ เช่นนั้นเจ้าคงต้องอยู่เป็นทาสรับใช้อยู่ที่นี่แล้วล่ะ”
เสียงของผู้อาวุโสผมเผ้าขาวหงอกเย็นเยือกมาก ๆ คำพูดคำจาที่พูดออกมานั้นก็เย็นชามาก ๆ เช่นกัน ราวกับว่าทุกอิริยาบถและคำพูดของเขาสามารถขี้ขาดชะตาชีวิตของคนคนหนึ่งได้ยังไงอย่างนั้น
“นี่คือวิธีการต้อนรับแขกของทางงานประมูลดาราจันทราของเจ้าหรือ?”
สีหน้าของหลัวซิวก็หม่นหมองลงไปภายในพริบตาเช่นกัน ออร่านักยุทธ์เทพฟ้าขั้น 6 ในตอนแรกพุ่งสูงขึ้นกะทันหัน เพิ่มขึ้นถึงราชาเทพระดับ 6 ภายในพริบตา
ถึงแม้ราชาเทพขั้น 6 คนหนึ่งในเมืองดาราจันทราจะไม่ถือว่ายิ่งใหญ่อะไร แต่ผลการฝึกตนของตาแก่ในหอประเมินอัญมณีนี่ก็เป็นเพียงราชาเทพขั้น 4 เท่านั้น
สัมผัสได้ถึงออร่าผลการฝึกตนบนตัวหลัวซิวอยู่เหนือตัวเอง ผู้อาวุโสผมเผ้าขาวหงอกจึงชะงักเล็กน้อย ประเดี๋ยวเดียวก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เยือกเย็น
“เหอะ ๆ ที่แท้ผู้เพื่อนยุทธ์ก็ปิดบังผลการฝึกตนตนนี่เอง นี่เป็นเพียงการเข้าใจผิดกันนะ”
หลัวซิวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น ไม่ได้สนใจตาแก่ที่แล่นเรือไปตามลม ยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง ก็มีแสงสว่างไสวเป็นประกายระยิบระยับอยู่บนโต๊ะ มีของขลังและอาวุธสงครามต่าง ๆ ปรากฏบนโต๊ะ