แววตาของเขาเรียบนิ่งมาก ๆ มุมปากมีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏ
“เจ้าทำดีมาก มานั่งสิ”จีเสวียนคงเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ฝั่งตรงข้ามของเขามีเบาะนั่งทรงกลมใบหนึ่งปรากฏโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง
“กราบขอบคุณผู้อาวุโสขอรับ”หลัวซิวทำท่าคารวะกราบขอบคุณ จากนั้นเขาก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ย่างเท้าเดินตรงไปแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามจีเสวียนคง
ในห้วงดาราที่มหาโลกาใบนี้ตั้งอยู่ ผู้ที่มีคุณสมบัตินั่งประจันหน้ากับจีเสวียนคงนั้น มีเพียงผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นจ้าวมหาเทพผู้มากอิทธิพลในกองกำลังทั้งหลายที่มีตำแหน่งอำนาจสูง เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์เสวียนคงท่านนี้ ก็ต้องปฏิบัติตามมารยาทของผู้น้อย
“เหตุใดเจ้าถึงต้องกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์?”หลังจากหลัวซิวนั่งลงแล้ว จีเสวียนคงจึงถามคำถามหนึ่ง
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดดังกล่าว ปฏิกิริยาแรกคือเขาอยากตอบกลับว่าฝึกกลั่นยา ทว่าในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากอยู่นั้น จู่ ๆ กลับมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง หากตนเองพูดเช่นนี้จริง ๆ จีเสวียนคงกลับจะไม่รับตัวเองเป็นลูกศิษย์
ซึ่งนี่คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง คำถามที่ดูเรียบง่าย แต่ในความเป็นจริงมันก็เป็นบททดสอบอย่างหนึ่งเช่นกัน สิ่งที่ทดสอบคือเขาจะพูดความจริงหรือไม่
ในส่วนของสาเหตุแท้จริงที่หลัวซิวจะกราบไหว้ครูนั้น ต้องไม่ใช่อยากเรียนรู้เรื่องการกลั่นยาอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะโควต้าในการมุ่งไปยังแดนเทวนิรันกาล
เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องนี้แล้ว เรื่องการกลั่นยากลับเป็นเพียงเรื่องรอง
“แดนเทวนิรันกาลกำลังจะเปิดออก ผู้น้อยอยากได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปภายในขอรับ”
หลังจากไต่ตรองอยู่พักหนึ่ง หลัวซิวก็เลือกที่จะตอบตามความจริง ความรู้สึกที่จีเสวียนคงผู้นี้มอบให้เขานั้นมันไม่ธรรมดามาก ๆ ความคิดของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างเขาเป็นอย่างไรนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มอย่างเขาจะสามารถคาดคะเนได้
เมื่อได้ยินคำตอบของหลัวซิว จีเสวียนคงจึงอมยิ้ม “เจ้ากลั่นยาเป็นหรือไม่?”
“พอเข้าใจอยู่บ้างขอรับ”หลัวซิวตอบกลับโดยไม่ต้องคิด
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามตัวเองคือมหาปรมาจารย์ยาเซียนท่านหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเองที่สามารถกลั่นได้เพียงระดับยาเซียนแล้ว การที่บอกว่าตัวเองพอเข้าใจเรื่องการกลั่นยาอยู่บ้างนั้น ไม่ถือเป็นการถ่อมตัวเลยสักนิด
“วัยรุ่นเจ้าฉลาดมาก ๆ ”จีเสวียนคงมองหลัวซิวด้วยสายตาที่ชื่นชมรอบหนึ่ง “การที่ข้าจะรับศิษย์นั้น สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งก็คือจิตใจที่ซื่อสัตย์ เจ้ายอมตอบตามความจริง จึงทำให้ข้านั้นรู้สึกชื่นใจมาก”
“หากเจ้ายินดีกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์ จากตัวตนลูกศิษย์ของข้านั้น การได้รับโควต้ามุ่งไปยังแดนเทวนิรันกาลนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก”
จีเสวียนคงใช้มือลูบหนวดเคราที่ขาวหงอก “แต่ทว่าการจะกลายเป็นลูกศิษย์ของข้า นอกเหนือจากจิตใจที่ซื่อสัตย์แล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือบุพเพสันนิวาส”
เรื่องบุพเพสันนิวาสเป็นสิ่งที่อธิบายยากมาก เหมือนพรรณนาเพื่อนผู้ยุทธ์ยังไงอย่างนั้น คนเราเมื่อมีบุพเพต่อกัน แม้อยู่ไกลกันเพียงใดก็พบกันจนได้ คนที่ไร้บุพเพต่อกันห่างกันแค่เอื้อมก็ไม่อาจมารู้จักกันได้!
จีเสวียนคงยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง หนังสือโบราณสีเหลืองเล่มหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าหลัวซิว และหนังสือโบราณดังกล่าวก็คือบุพเพที่กล่าวถึงนั่นเอง
สายตาของหลัวซิวร่วงลงบนหนังสือโบราณ พบว่าด้านบนมีลายมือที่โบราณและผ่านโลกมาอย่างโชกโชนสลักอยู่หนึ่งคำ……คัมภีร์โอสถ!
คัมภีร์โอสถ?
รูม่านตาของหลัวซิวหดลงไปกะทันหัน เนื่องจากเสี้ยววินาทีที่เห็นหนังสือโบราณเล่มนี้ สมองเขาก็นึกถึงคัมภีร์อมฤตขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ในความเป็นจริงวิถียุทธ์และค่ายกล กลั่นยา ภัณฑ์กลั่นทั้งสามวิถีนี้ ต่างเชื่อมโยงถึงกันและต่างพึ่งพาช่วยเสริมซึ่งกันเช่นกัน
หลัวซิวได้รับเศษคัมภีร์อมฤต และเคยตั้งใจตระหนักรู้มาหลายครั้งแล้ว ใช้คัมภีร์อมฤตเสริมวิถียุทธ์ สร้างเส้นลมปราณขึ้นมาใหม่ ทำให้ผลการฝึกตนภายในร่างกายโคจรจนประกอบเป็นโคจรมหาจักรวาลที่บริบูรณ์สมบูรณ์แบบ
นอกเหนือจากนี้ วิถีแห่งค่ายกลที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์อมฤตก็สามารถสลักค่ายกลไว้บนร่างเนื้อได้เช่นกัน เพื่อเพิ่มพลานุภาพของร่างยุทธ์ร่างเนื้อ ทำให้ผลการฝึกตนของนักยุทธ์แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พลังเวทย์ยิ่งทรงพลัง ในตำนานยิ่งเล่ากันว่าสามารถนำค่ายกลสลักไว้ในตัวหยั่งรู้ ทำให้วิญญาณดั้งเดิมยิ่งใหญ่และแข็งแรงขึ้น เพิ่มเสริมพลังแห่งตัวสำนึก
น่าเสียดายที่คัมภีร์อมฤตที่หลัวซิวได้รับมานั้นเป็นเพียงฉบับที่ไม่สมบูรณ์ มีการบันทึกเพียงวิธีการสร้างเส้นลมปราณขึ้นมาใหม่ การสลักค่ายกลไว้ในร่างยุทธ์ร่างเนื้อนั้น ยังเป็นสิ่งที่เขาตระหนักรู้ได้ด้วยความบังเอิญ