“เจ้ายินดีที่จะกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”แววตาอันร้อนผ่าวของจีเสวียนคงจ้องมองหลัวซิว
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่าง ราวกับที่ตัวเองมาที่นี่นั้นก็มาเพื่อไหว้ครู แต่ผลลัพธ์กลับเปลี่ยนเป็นว่าเหมือนตนไม่ได้มาไหว้ครู แต่ฝ่ายตรงข้ามจะรับตัวเองเป็นศิษย์แทน?
แววตา ณ วินาทีนี้ของจีเสวียนคงทำให้หลัวซิวรู้สึกว่า หากตัวเองปฏิเสธละก็ เกรงว่าผู้อาวุโสท่านนี้ต้องเสียใจมากแน่นอน
ดูจากปฏิกิริยาที่แตกต่างระหว่างก่อนหน้านี้และบัดนี้ของจีเสวียนคง หลัวซิวจะยังไม่เข้าใจได้อย่างไร เนื่องจากตระหนักรู้ได้ในคัมภีร์โอสถ พรสวรรค์ที่ตัวเองแสดงออกมา มันทำให้มหาปรมาจารย์ยาเซียนเพียงหนึ่งเดียวในมหาโลกายอดอัมพรท่านนี้ตะลึงจริง ๆ
“ใต้หล้านี้นอกจากข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์รับเจ้าเป็นศิษย์!”
ราวกับสิ่งเดียวที่เกรงกลัวคือหลัวซิวจะปฏิเสธ จีเสวียนคงจึงรีบพูดเสริมขึ้นมาคำหนึ่ง ความหมายนั่นราวกับจะสื่อว่าหากเจ้าไม่กราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์ ก็จะทำให้พรสวรรค์ของเจ้าสูญเปล่า
“ศิษย์กราบคารวะอาจารย์ขอรับ”
หลัวซิวไม่ได้ลังเลใจอีก เห็นเพียงเขาค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าจีเสวียนคง
ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ พวกเราที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ นอกเหนือจากการคุกเข่าต่อฟ้าดินและพ่อแม่แล้ว จะคุกเข่าก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ผู้เคารพ
ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องอัปยศแต่อย่างใด แต่เป็นความเคารพที่มาจากหัวใจจริง
คนส่วนมากก็เรียกแทนกันว่าอาจารย์และศิษย์เช่นกัน ทว่าตราบใดที่ยังไม่เคยทำพิธีคุกเข่ากราบ แท้จริงแล้วล้วนไม่ถือเป็นศิษย์อาจารย์อย่างแท้จริง
ยกตัวอย่างเช่นครั้นเมื่ออยู่ในโลกเสวียนเทียน ซุ๋นหวู่หยาอยู่ในนามอาจารย์ของเขา แต่เขากลับไม่เคยทำพิธีคุกเข่ากราบมาก่อน ดังนั้นจึงเป็นอาจารย์และศิษย์ในนามเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่อาจารย์และศิษย์อย่างแท้จริง
มาตรแม้นว่าเป็นบรรพจารย์ไท่หยุนครั้นเมื่ออยู่ในโลกาดาราอุดร หลัวซิวก็ไม่เคยทำพิธีคุกเข่ากราบมาก่อนเช่นกัน เนื่องจากบรรพจารย์ไท่หยุนแค่อยากให้เศษคัมภีร์อมฤตถ่ายทอดสืบต่อไปผ่านตัวเขา การแลกเปลี่ยนระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่เยอะมากนัก
แต่ทว่าจิตใจหลัวซิวก็มองว่าบรรพจารย์ไท่หยุนเป็นกึ่งอาจารย์ของตัวเองอยู่ น่าเสียดายที่อายุไขของบรรพจารย์ไท่หยุนสูญสิ้น ผ่านไปไม่นานนักก็นั่งฌานละสังขารแล้ว
แต่ครั้งนี้หลัวซิวอยากกราบไหว้จีเสวียนคงเป็นอาจารย์ด้วยสัตย์ใจจริงจริง ๆ ด้านหนึ่งเป็นเพราะระดับฝีมือของมหาปรมาจารย์ยาเซียนของฝ่ายตรงข้ามสูงมาก ๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะเมื่อเปรียบเทียบกับมหาโลกาพันสามที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีผู้แข็งแรงเยอะดุจก้อนเมฆแล้ว เขาต่ำต้อยและเล็กน้อยมากเกินไปจริง ๆ
เขาต้องการที่พึ่งพิงหนึ่ง และจีเสวียนคงก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ไม่เลวอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
คนหนึ่งอยากรับศิษย์ คนหนึ่งยินดีที่จะไหว้ครู ทั้งสองฝ่ายจึงเข้ากันได้ดีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ฮ่าฮ่า ดี! ดี! ดี!”
จีเสวียนคงมีความสุขมาก ๆ พูดคำว่าดีติดต่อกันสามครั้ง
สำหรับเขาแล้ว เขาจีเสวียนคงเปิดรับศิษย์ ผู้ที่มาไหว้ครูมีเยอะดั่งปลาในแม่น้ำ ทว่าครั้นเมื่อเขามีความตั้งใจที่จะรับศิษย์ตั้งแต่แปดหมื่นปีก่อน แต่เวลาก็ผ่านมายาวนานเช่นนี้แล้ว กลับไม่มีวัยรุ่นผู้ที่มีความฉลาดเป็นเลิศต้องตาเขาเลย
คนเหล่านั้นบ้างก็มีใจที่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่สามารถทำบททดสอบแรกสำเร็จ แม้ในบรรดาผู้ที่สามารถทำบททดสอบแรกสำเร็จเพียงเล็กน้อยนั่น กลับไม่มีพรสวรรค์และปัญญาในการฝึกคัมภีร์โอสถ
คัมภีร์โอสถไม่ได้เป็นเพียงคัมภีร์เคล็ดของการกลั่นยาเท่านั้น มันยังเป็นวรยุทธ์ที่ใช้สำหรับการฝึกตนหนึ่งอย่างด้วย!
ซึ่งหลัวซิวไม่ทราบจุดนี้แต่อย่างใด เนื่องจากเนื้อหาที่เขามองเห็นในคัมภีร์โอสถ เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยมาก ๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น
“ชั่วชีวิตนี้ข้าจีเสวียนคงจักรับศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น ขอเพียงเจ้าไม่ดับสลายสูญสิ้น ตราบใดที่อายุไขของข้ายังไม่สูญสิ้นและนั่งฌานละสังขาร ข้าก็จักไม่รับผู้อื่นเป็นศิษย์อีก”
จีเสวียนคงลุกตัวขึ้น จับแขนทั้งสองข้างของหลัวซิวเพื่อประคองตัวเขาขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวและไร้ข้อสงสัย
“การที่เจ้าสามารถตระหนักรู้เนื้อหาในคัมภีร์โอสถได้นั้น เจ้าก็น่าจะทราบอยู่ว่าวิถียาที่แฝงซ่อนอยู่ภายในคัมภีร์โอสถ เมื่อบุคคลที่แตกต่างกันตระหนักรู้ในคัมภีร์โอสถ วิถีที่ตระหนักรู้ได้ก็จะแตกต่างกัน เหมือนเช่นวิชายาที่เจ้าใช้ขณะกลั่นยา ก็แตกต่างจากข้ามาก ๆ ”