ศิษย์อาจารย์ทั้งสองนั่งประจันหน้ากันอีกครั้ง จีเสวียนคงพูดด้วยความจริงใจ: “เจ้ารู้จักการกลั่นยา ก็น่าจะรู้จักวิถีค่ายเช่นกัน ระดับฝีมือในด้านค่ายกลของข้าไม่สูง ตลอดชั่วชีวิตนี้ล้วนฝึกตนอยู่กับด้านการกลั่นยา ทว่าอาจารย์กลับทราบอยู่ว่าแดนในวิถีค่ายกลแบ่งออกเป็น ธงค่าย ผังค่ายและยันต์ค่ายสามแดนใหญ่!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวจึงผงกหัว แต่ทว่าเขากลับไม่ได้บอกว่าแท้จริงแล้วตัวเองบรรลุถึงแดนยันต์ค่ายแล้ว
เห็นเพียงจีเสวียนคงพูดต่ออีกว่า “แดนค่ายกลเป็นพื้นฐานความสำเร็จสูงต่ำในอนาคต หากอยู่ในแดนผังค่ายมาโดยตลอด เช่นนี้ชั่วชีวิตนี้มากสุดแค่บรรลุถึงระดับอาจารย์ค่ายเทพก็ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว และเมื่อบรรลุถึงแดนผังค่าย ก็จะมีโอกาสบรรลุเป็นปรมาจารย์ค่ายเทพ มีเพียงบรรลุถึงแดนยันต์ค่าย ถึงจะมีโอกาสบรรลุเป็นมหาปรมาจารย์ค่ายเทพ”
“วิถีการกลั่นยาของเราก็มีการแบ่งแดนเช่นกัน นั่นก็คือเหยียบทุติย สัมผัสปฐมและหมายบูรณ์สามแดนใหญ่”
“แดนที่อยู่เหนือทั้งสามแดนใหญ่ ยังมีอีกหนึ่งแดนนั่นก็คือแดนแจ่มแจ้ง ทว่ามันเป็นเรื่องเล่าในตำนานมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว อย่างน้อยข้าก็ไม่ทราบว่ามีผู้ใดสามารถบรรลุถึงแดนเช่นนั้นได้”
“วิถียุทธ์ก็ดี วิถียาก็ช่าง ค่ายกล วิถีภัณฑ์ล้วนเป็นวิถีเช่นกัน และวิถีนั้นไร้ที่สิ้นสุด ในเมื่อไร้ที่สิ้นสุด แล้วเรื่องแดนแจ่มแจ้งนั้นมาจากที่ใดเล่า?”
หลัวซิวเห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าวของจีเสวียนคงอย่างยิ่ง ในอดีตเขาคิดว่าการเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็แข็งแกร่งมาก ๆ แล้ว จนกระทั่งต่อมา เขาถึงจะทราบว่ายังมีพวกแดนเทพมาร เทพฟ้าและราชาเทพอีก
และต่อมาเขาก็คิดว่าจักรพรรดิเทพเป็นจุดสูงสุดของวิถียุทธ์แล้ว ทว่าหลังจากทราบเรื่องวัฏสงสารโบราณทลายสูญสิ้นแล้ว เขาก็ทราบแล้วว่าจักรพรรดิเทพก็ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแต่อย่างใดเช่นกัน
แล้วแดนที่สูงที่สุดของวิถียุทธ์มันเป็นอย่างไรกันแน่?
หลัวซิวไม่ทราบ เทพแห่งวัฏจักรชีวิตอย่างตัวมรณาก็ไม่ทราบเช่นกัน ทราบแค่เพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในความเข้าใจคือจ้าววัฏสงสารที่หนึ่ง หรือว่าผู้ริเริ่มบุกเบิกวัฏสงสารโบราณนั่นเอง
“อาจารย์ตระหนักรู้ในคัมภีร์โอสถมาเป็นเวลาสิบล้านปีแล้ว บรรลุถึงขั้นสูงในแดนที่สามของการกลั่นยาตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อนแล้ว มีใจที่จะพัฒนาขึ้นอีกก้าว กลับไม่สามารถได้รับการตระหนักรู้จากคัมภีร์โอสถอีกเลย ส่งผลให้ไม่สามารถได้รับการยืนยันแดนแจ่มแจ้งในตำนานจากมือข้าได้”
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จีเสวียนคงก็ถอนหายใจเฮือกยาว แล้วนำหนังสือโบราณอย่างคัมภีร์โอสถยื่นให้หลัวซิว “อาจารย์จักนำคัมภีร์โอสถเล่มนี้มอบให้เจ้า ตลอดทั้งชีวิตนี้อาจารย์เพิ่งได้พบผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างเจ้า หวังว่าสักวันเจ้าจะสามารถบรรลุถึงแดนในตำนานนั้นได้”
“ในคัมภีร์โอสถ นอกเหนือจากวิธีการที่สามารถทำให้ผู้คนตระหนักรู้ได้แล้ว ยังมีวรยุทธ์อีกอย่าง ซึ่งมีนามว่าเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิตใจของหลัวซิวก็หวั่นไหวเล็กน้อย สำหรับการฝึกวิถีแห่งกฎนั้น เขามีพลังจุติมรณะ สำหรับด้านการยกระดับผลการฝึกตนนั้น เขามีเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า ด้านการชุบร่างเนื้อ เขามีเคล็ดวิชาจุดลมปราณและจารึกวิถียุทธ
แต่สำหรับวรยุทธ์กลั่นวิญญาณนั้น เป็นสิ่งที่เขาขาดแคลนมาโดยตลอด
คัมภีร์โอสถและคัมภีร์อมฤตลึกลับมหัศจรรย์เหมือนกัน ความเป็นมาของมันเก่าแก่มากจนไม่อาจคาดการณ์ได้ วรยุทธ์ที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน ระดับของมันไม่ต่ำกว่าเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าและเคล็ดวิชาจุดลมปราณหนึ่งร้อยแปดอย่างแน่นอน
หลัวซิวเก็บคัมภีร์โอสถไว้ดี ๆ วางแผนที่จะหาเวลาตระหนักรู้มันดี ๆ สักตั้ง
“สำหรับเรื่องที่เจ้าสังหารศิษย์ใจกลางของหอยอดอัมพรนั้น อาจารย์ทราบเรื่องแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้น เจ้าพกของขลังชิ้นนี้ไว้ พลังออร่าของเจ้าจะถูกของขลังผนึกไว้ ไม่ว่าเจ้าสังหารผู้ใด ผู้อื่นก็จะไม่ทราบว่าเจ้าคือฆาตกร”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น จีเสวียนคงก็นำหน้ากากสีแดงเลือดออกมาหนึ่งใบ
นี่คือของขลังหน้ากากชิ้นหนึ่ง ความสามารถของของขลังหน้ากากทั่วไปล้วนมีไว้เพื่ออำพรางตัวตนปกปิดพลังออร่า แต่ของขลังหน้ากากชิ้นนี้ที่จีเสวียนคงเอาออกมานั้น กลับเป็นสิ่งที่ผนึกพลังออร่า มีความสามารถในการไม่ให้ผู้อื่นจำได้