โดยทั่วไปแล้ว บนตัวของเหล่าผู้เพ็ญตนในกองกำลังใหญ่ ๆ ล้วนมีตราประทับพิเศษ ทันทีที่ถูกสังหาร มันก็จะนำพลังออร่าและข้อมูลลักษณะเฉพาะของฆาตกรส่งตรงไปยังสำนัก ทว่าเมื่อมีของขลังหน้ากากชิ้นนี้แล้ว ก็จะไม่มีข้อมูลใด ๆ ถูกส่งไปและจะไม่มีผู้คนสืบเสาะได้ด้วยว่าเขาคือฆาตกร
“ของขลังชิ้นนี้เป็นผลตอบแทนที่อาจารย์ได้มาครั้นเมื่อช่วยผู้อื่นกลั่นยา ซึ่งมีนามว่าหน้าการซิวหลัว และสอดคล้องกับชื่อเจ้ามาก ๆ เลยล่ะ”
หลัวซิวยื่นมือไปรับของขลังหน้ากากสีแดงเลือดนั่นมา ซึ่งมันต่างจากของขลังโจมตีหรือของขลังป้องกัน ของขลังชิ้นนี้ไม่มีพลานุภาพใด ๆ เลย แต่ทว่าสำหรับเขาแล้ว มันกลับเป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี
นี่มันสมบัติที่จำเป็นต้องมีที่ใช้เพื่อปิดบังตัวตนเมื่อฆ่าคนก่ออาชญากรรมชัด ๆ
“อาจารย์ ตกลงท่านมีบุญคุณความแค้นอะไรกับหอยอดอัมพรกันแน่ขอรับ?”หลัวซิวถามด้วยท่าทางที่ดี
“ศักยภาพของเจ้าต่ำเกินไป ยังไม่รับรู้บัดนี้จักดีกว่า อาจารย์มอบหน้าการซิวหลัวให้เจ้าแล้ว หากพบเจอศิษย์ของหอยอดอัมพร ฆ่าได้กี่คนเจ้าก็ฆ่าล้างพวกมันให้หมดเลยนะ!”มีรังสีแห่งความเยือกเย็นกระพริบอยู่ในแววตาของจีเสวียนคง
“การคงอยู่ของแดนเทวนิรันกาลนั้นเก่าแก่อย่างยิ่ง ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดได้รับสมบัติล้ำค่าทั้งสามชิ้นที่อยู่ภายในนั้นเลย หลังจากที่เจ้าไปถึงแล้ว ให้ยึดความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลัก และรวดดูแลหลานสาวของข้าด้วย”
สำหรับเรื่องของหอยอดอัมพรนั้น จีเสวียนคงปิดปากเงียบไม่พูดถึงเลย แต่เปลี่ยนเป็นการเน้นย้ำกำชับหลัวซิวแทน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็ทราบแล้วว่าจีเสี่ยวจื่อนั่นน่าจะมุ่งหน้าไปยังแดนเทวนิรันกาลพร้อมกับตัวเอง
“อาจารย์ขอรับ ศิษย์ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หวังว่าอาจารย์จักสามารถช่วยเหลือข้าได้”หลังจากหลัวซิวลังเลใจอยู่พักใหญ่ จู่ ๆ เขาก็พูดกับจีเสวียนคง
“โอ๊ะ? มีปัญหาอะไรก็บอกกับอาจารย์ได้เลย ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว อาจารย์จักรับผิดชอบแทนเจ้าเอง!”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เข้มงวดของหลัวซิว จีเสวียนคงจึงพูดออกมาโดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
ฟังจากน้ำเสียง หลัวซิวสามารถสัมผัสความห่วงใยนั่นของจีเสวียนคงที่มีต่อตัวเองได้อยู่ นี่จึงทำให้เขารู้สึกว่าการตัดสินใจไหว้ครูของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่
สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนที่หลัวซิวจะเล่าบุญคุณความแค้นระหว่างตนและสำนักเซียนเทียนหยุนออกมา ทว่าเนื่องจากสภาพจิตใจที่ละเอียดรอบคอบ เขาจึงปิดบังเรื่องใจแห่งศุภร ไม่ได้บอกเล่าออกมา
ชั้นแรกของหอโอสถเสวียนคง จีเสี่ยวจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเบื่อหน่าย เท้าทั้งสองข้างที่เล็กน้อยแกว่งไปแกว่งมา ร่างกายที่กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักเหมือนภูติสีม่วงยังไงอย่างนั้น
ทันใดนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้า สายตาจึงมองไปทางตำแหน่งบันไดอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเห็นเงาร่างสองร่างเดินลงมาจากด้านบน โดยที่คนหนึ่งเดินอยู่ด้านหน้า คนหนึ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง
“ท่านปู่?”
จีเสี่ยวจื่อรู้สึกตะลึงอยู่เล็กน้อย กระโดดโลดเต้นไปด้วยความดีใจ ดวงตาที่สว่างไสวนั่นมองเห็นหลัวซิวแล้ว “ท่านปู่รับเขาเป็นศิษย์แล้วหรือเจ้าคะ?”
จีเสวียนคงรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้ของตัวเองมาก ๆ ยื่นมือออกไปลูบเส้นผมที่ยาวสลวยของนาง ยิ้มพลางตอบกลับ: “ถูกต้อง อาจารย์รับเขาเป็นศิษย์แล้ว ต่อไปเขาก็คือศิษย์พี่ของเจ้า”
จีเสี่ยวจื่อไม่มีพรสวรรค์ด้านการกลั่นยาแต่อย่างใด มิเช่นนั้นละก็ จากความรักและเอ็นดูของจีเสวียนคงที่มีต่อนาง เขาคงไม่เลือกผู้สืบทอดคนอื่นแล้ว
“เสี่ยวจื่อกราบคารวะศิษย์พี่เย่เจ้าค่ะ”หลังจากจีเสี่ยวจื่อรู้สึกตะลึงเล็กน้อยแล้ว นางก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก มองไปทางหลัวซิวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแล้วทำความเคารพอย่างนุ่มนวล
หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ แล้วพูด: “เย่ห้าวหรานไม่ใช่ชื่อเดิมของข้าแต่อย่างใด ศิษย์พี่อย่างข้านั้นมีนามว่าหลัวซิว”
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ จีเสี่ยวจื่อก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบพูดว่า: “ศิษย์พี่หลัว ในเมืองดาราจันทรามีใบประกาศที่เกี่ยวข้องกับท่านติดอยู่หนึ่งใบด้วยเจ้าค่ะ”
ใบประกาศ?
เมื่อได้ฟังคำพูดของจีเสี่ยวจื่อ บวกกับมองเห็นสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดเล็กน้อยนั่นของจีเสี่ยวจื่อแล้ว หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
บริเวณที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองดาราจันทราก็คือแถบศูนย์กลางของเมือง ตรงนั้นมีสนามจัตุรัสแห่งหนึ่ง ในวันปกติจะมีนักยุทธ์จำนวนมากไปทำการค้าขายที่นั่น ดังนั้นกระแสผู้คนที่หลั่งไหลไปจึงเยอะมาก ๆ