เขาบอกว่าเซียวเฟยอยากแย่งภรรยาของเขา ดังนั้นจึงสมควรตาย หรือว่าภรรยาที่เขาหมายถึงนั้น คือข้าหรือ?
ไม่รู้ว่าดาราโบราณมกุฎเทพกระแทกลงมากี่ครั้งแล้ว ทว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวกลับเหมือนไม่มีท่าทีที่จะแห้งเหือดเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับยิ่งสู้ยิ่งองอาจ พลังการโจมตีไม่เพียงไม่ลดน้อยลง ยิ่งมีแนวโน้มที่จะทรงพลังมากขึ้น
ยิ่งสู้ยิ่งองอาจ?
สภาพจิตใจของท่านฉีหวาดผวาไม่เป็นสุข ผู้น้อยที่อยู่ตรงหน้านี้มันเป็นปีศาจตัวหนึ่งชัด ๆ จะมีทางมีคนที่กระตุ้นของขลังที่แข็งแกร่งติดต่อกันโดยที่ผลการฝึกตนของตัวเองไม่สูญเสียเลยแม้แต่น้อยได้อย่างไร?
ถอย!
หากพูดให้แม่นยำหน่อยก็คือหนี!
การที่ท่านฉีที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำสามารถฝึกตนจนถึงแดนมกุฎเทพช่วงกลางได้นั้น เขาต้องไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว วินาทีนี้หากยังไม่ถอยอีกละก็ เขามีโอกาสตายอยู่ที่นี่สูงมาก
จิตใจมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด ใต้เท้าของท่านฉีจึงมีเส้นทางแห่งผลึกน้ำแข็งปรากฏหนึ่งเส้น เห็นเพียงเขาเดินย่ำอยู่บนน้ำแข็ง ความเร็วเหมือนดั่งแสงที่กระพริบเคลื่อนผ่านไป เร็วมากจนเหลือเชื่อ
ชีวีหอคอยเทวถูกเขาเก็บเข้าไปในจุดตันเถียน บนหอคอยเทว ณ บัดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยร้าว หากต้องการซ่อมแซมมัน ยังต้องใช้เวลาและวัตถุดิบที่ไม่น้อยเลย
ปริภูมิพันธนาการ ลดเวลา!
หลัวซิวสั่นกระพือปีกเทพทะลุฟ้าไร้มลทิน ในขณะที่ไล่ตามฝ่ายตรงข้ามอยู่นั้น เขาก็ปลดปล่อยพลังอมตะของทั้งสองกฎออกมาเช่นกัน ผนึกท่านฉีในชุดคลุมยาวดำที่จะหลบหนีนั่นเอาไว้
อย่างไรก็ตามท่านฉีกลับเตรียมป้องกันพลังอมตะของทั้งสองกฎใหญ่นี้ตั้งนานแล้ว ภายใต้การโคจรกฎธาตุน้ำแข็งขั้น 6 ก็สามารถขวางกั้นกฎห้วงเวลาเอาไว้ข้างนอกได้ ตนไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
ซึ่งนี่ก็คือช่วงระยะความต่างระหว่างกฎขั้น 6 และขั้น 5 แม้กฎที่หลัวซิวยึดกุมล้วนเป็นกฎชั้นยอด แต่เนื่องจากผลการฝึกตนของตัวเขาเองต่ำเกินไป สุดท้ายก็ไม่สามารถเทียบทัดขั้น 6 ได้อยู่ดี
แม้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของปีกเทพทะลุฟ้าไร้มลทินจะรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันก็ถูกจำกัดโดยระดับและผลการฝึกตนของตัวบุคคลด้วย สุดท้ายก็ไล่ตามฝ่ายตรงข้ามไม่ทันอยู่ดี ปล่อยให้ท่านฉีที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำนั่นหนีไปได้
เก็บดาราที่ลอยเต็มท้องฟ้าและปีกเทพทะลุฟ้าไร้มลทินกลับเข้ามาในร่างกาย เงาร่างของหลัวซิวกระพริบสองสามที ก่อนจะกลับมาถึงบนศีรษะของอสูรดูดจิตอีกครั้ง
ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ จีเสวียนคงไม่ได้ลงมือเลย มิเช่นนั้นละก็ท่านฉีที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำนั่นจะไม่มีโอกาสหนีรอดกลับไปได้เลยไม่ได้น้อย
หลัวซิวไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่ลงมือ แต่ทว่ากลับสามารถคาดเดาสภาพจิตใจของจีเสวียนคงได้ลาง ๆ ซึ่งสามารถเรียกสภาพจิตใจเช่นนั้นว่าเหยียดหยาม
จีเสวียนคงเป็นคนแบบใด? มหาปรมาจารย์ยาเซียนเพียงหนึ่งเดียวในมหาโลกายอดอัมพร ผลการฝึกตนทั้งร่างอย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่อยู่ระดับจ้าวมหาเทพขั้น 9 ขั้นสูง
จากตัวตนอย่างเขา หากลงมือต่อมกุฏเทพกระจอก ๆ คนหนึ่ง ก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่ามิใช่หรือ?
แน่นอนอยู่แล้วว่าหากหลัวซิวตกอยู่ในอันตรายขณะที่ประมือกับท่านฉีในชุดคลุมยาวดำละก็ จีเสวียนคงก็ต้องลงมือแน่นอน
“กฎห้วงเวลา ช่างทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตามากจริง ๆ ”จีเสวียนคงใช้มือลูบหนวดเคราพลางยิ้มพลางมองไปทางหลัวซิว
นี่เป็นการชื่นชมอย่างแท้จริง แต่ไม่รวมจิตใจที่อยากครอบครองความลับบนตัวเขา ซึ่งหลัวซิวสามารถสัมผัสจุดนี้ได้อยู่แล้ว
อย่างไรเสียการฝึกกฎชั้นยอดก็ต้องการโอกาสและความสามารถในการตระหนักรู้อยู่ จากแดน ณ ปัจจุบันของจีเสวียนคง เขาต้องทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่วรยุทธ์สามารถทำได้
ถึงแม้จะมีวรยุทธ์สามารถฝึกฝนยึดกุมกฎห้วงเวลา เช่นนั้นระดับความยากในการฝึกวรยุทธ์ดังกล่าวก็ต้องยากมากแน่นอน และมาตรฐานสูง
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สอบถามหลัวซิวว่าฝึกฝนและยึดกุมมันได้อย่างไร เนื่องจากจีเสวียนคงเข้าใจดีมากว่าตนเองไม่สามารถไปฝึกกฎสองประเภทนี้ได้อีกแล้ว หากสามารถฝึกได้ละก็ ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมาเป็นหลายสิบล้านปี เขาคงฝึกสำเร็จตั้งนานแล้ว ยังจำเป็นต้องรอถึงบัดนี้อยู่อีกหรือ?
“ขณะที่เจ้ากลั่นยา เจ้าใช้เปลวไฟที่ผนึกรวมมาจากกฎชีวิต หากข้าเดาไม่ผิดละก็ เปลวไฟสีดำบนตัวเจ้าเมื่อครู่นี้ คืออัคคีเทพทมิฬที่ผนึกรวมขึ้นมาจากกฎความตายใช่หรือไม่?”