หลัวซิวเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้ของจีเสวียนคงมาก ๆ เมื่อได้เผชิญหน้ากับโอกาสและโชคที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนเราได้ ต่อให้เป็นคนที่สนิทที่สุดก็มีโอกาสแทงข้างหลังเจ้าได้เช่นกัน ในโลกของนักยุทธ์ ความเชื่อใจนั้นเป็นสิ่งที่หาพบได้ยากมาก ๆ
แม้จะคิดเช่นนี้ในใจ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้คนที่หลัวซิวไว้วางใจได้เลย อย่างน้อยในจิตใจเขา เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่เป็นคนที่คุ้มค่าแก่การให้เขาไว้วางใจมากที่สุดอย่างแน่นอน หากพวกนางมาเพื่อหลอกตัวเองละก็ หลัวซิวเดาว่าตัวเองก็ต้องติดกับดักแน่นอน
ทว่าทั้ง ๆ ที่ทราบเรื่องเหล่านี้ เขากลับไม่ระแวดระวังพวกนางอยู่เช่นเคย เนื่องจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดในความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็คือความบริสุทธิ์ใจ มิเช่นนั้นละก็ แม้แต่ในความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ที่สุดยังมีการหลอกกันไปหลอกกันมา แล้วชีวิตนี้จะมีความหมายได้อย่างไรเล่า?
ในขณะที่มีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวหลัวซิวอยู่นั้น จีเสวียนคงกลับหัวเราะออกมาอย่างพรวดพราดแล้วพูด: “บนโลกใบนี้ไม่มีความเชื่อใจที่ไร้เหตุผลที่มา อาจารย์ก็ไม่ถือสาที่เจ้าระแวดระวังในตัวข้าเช่นกัน เพราะเรายังไม่สนิทสนมกัน ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อใจระหว่างทั้งสองฝ่ายได้”
“ที่ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์นั้น เป็นเพราะเจ้าและข้ามีบุพเพต่อกัน ตลอดช่วงแปดหมื่นปีที่ผ่านมาเจ้าเป็นเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกพึงพอใจ และยิ่งทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจด้วย ตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่ถ่ายทอดคัมภีร์โอสถให้เจ้า ข้าก็เป็นอาจารย์ของเจ้าแล้ว ส่วนเจ้านั้นก็เป็นศิษย์ของข้า”
“แต่อาจารย์สามารถบอกกับเจ้าได้อย่างชัดเจนเลยว่า ต่อให้บนตัวเจ้าจะมีสมบัติและความลับซ่อนอยู่อีกมากเพียงใด อาจารย์ก็จะไม่เกิดความคิดที่โลภใด ๆ ต่อเจ้า และไม่มีวันประสงค์ร้ายต่อเจ้าเช่นกัน ที่ทำเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณธรรมของอาจารย์สูงส่งมากเพียงใด แต่เป็นเพราะเจ้าคือศิษย์ของข้า”
คำพูดของจีเสวียนคงตรงไปตรงมามาก ๆ ไม่มีการอ้อมค้อมใด ๆ ทว่ากลับพูดเข้าไปในจิตใจ ทำให้จิตใจของหลัวซิวรู้สึกหวั่นไหวไปด้วย
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจของจีเสวียนคงที่ปฏิบัติต่อตนเอง เหมือนดั่งคำพูดครั้นเมื่อเขารับตนเป็นศิษย์ หากใจไม่ซื่อ ก็จะกลายเป็นอาจารย์ศิษย์ไม่ได้
แท้จริงแล้วเวลานั้นจีเสวียนคงก็อยากรับเขาเป็นศิษย์ด้วยความจริงใจแล้ว ในทางตรงกันข้ามสภาพจิตใจของหลัวซิว ณ เวลานั้นกลับไม่จริงใจเท่าไหร่นัก เขาไปด้วยเจตนาที่เห็นแก่ตัวและมีจุดประสงค์
ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าเป็นศิษย์ของข้า
คำพูดที่เรียบง่ายคำหนึ่ง กลับเหมือนดั่งคำสาบานท่อนหนึ่ง เหมือนดังเช่นการเดินทางมาภูเขาหยุนเซียนในครั้งนี้ มาตรแม้นว่าด้วยตัวตนและศักยภาพของจีเสวียนคง เมื่อเผชิญหน้ากับสำนักขั้นสุดยอดอย่างสำนักเซียนเทียนหยุนแล้ว ก็รับมือไม่ง่ายแน่นอน ทว่าเนื่องจากหลัวซิวเป็นศิษย์ของเขา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะออกจากการปิดขังอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ศิษย์คนดังกล่าวจะเป็นคนที่เขาเพิ่งรับมาและเพิ่งรู้จักก็ตาม
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ”หลัวซิวก้มคำนับ มีความรู้สึกตื้นตันใจที่ไม่เคยเป็นมานานปรากฏในใจเล็กน้อย
จีเสวียนคงอมยิ้ม เขารู้สึกชื่นใจต่อการที่ศิษย์คนนี้สามารถเข้าใจความตั้งใจของตัวเอง แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่ใส่ใจ แต่ถ้าเกิดศิษย์ของตัวเองคอยระแวดระวังตัวเองตลอดเวลาละก็ เขาที่เป็นอาจารย์ก็ต้องรู้สึกไม่สบอารมณ์มาก ๆ
แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาก็จะไม่ไปถามเจาะลึกเรื่องความลับที่อยู่บนตัวศิษย์คนนี้โดยพลการเช่นกัน อัจฉริยะทุกคนที่เติบโตโดยฉับพลันล้วนมีโอกาสและชะตากรรมที่เป็นของตัวเอง ก็เหมือนเช่นเขาจีเสวียนคง สาเหตุที่เขาสามารถกลายเป็นมหาปรมาจารย์ยาเซียนนั้น สิ่งที่พึ่งพาอาศัยก็คือได้รับคัมภีร์โอสถนั่นมา
ซึ่งแตกต่างจากเศษคัมภีร์อมฤต สิ่งที่จีเสวียนคงได้รับมาคือคัมภีร์โอสถฉบับสมบูรณ์แบบเชียวนะ!
หนังสือคัมภีร์โอสถโบราณหนึ่งเล่ม ก็สร้างมหาปรมาจารย์ยาเซียนเพียงหนึ่งเดียวในมหาโลกายอดอัมพรได้แล้ว
“เศษใจแห่งศุภรนี้ เก็บไว้ในมืออาจารย์สักระยะเถิด อาจารย์จะค้นคว้าวิจัยมันดู”จีเสวียนคงยิ้มพลางพูด
หลัวซิวไม่มีความคิดเห็นใด ๆ ต่อเรื่องนี้เลย หลังจากเข้าใจความจริงใจของจีเสวียนคงที่ปฏิบัติต่อตัวเองแล้ว หลัวซิวก็ทราบแล้วว่าเขาจะไม่ยักยอกสมบัติของตัวเองไป มิหนำซ้ำถึงแม้เขาจะยักยอก ตัวเองก็หยุดยั้งไม่ได้ด้วยซ้ำ