มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1864
เหนือแท่นบูชา มีกลุ่มควันสีดำสนิทเหมือนดั่งหมึกลอยอยู่ เสียงอันเย็นยะเยือกได้ลอยออกมาจากหมอกควันสีดำ ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองหลัวซิวอยู่
“ตบตาทั้งนั้น!” ลำแสงกะพริบขึ้นมาในร่างกายของหลัวซิว กระบี่ไร้เงาและดาบเงาสายฟ้าลอยออกมา ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา ไอสังหารแผ่ซ่าน
พรึ่บ!
หมอกดำสั่นสะท้าน มีมือที่ขาวประดุจหยกข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหมอกควันสีดำ และคว้าเข้าไปหาหลัวซิวทันที
มือที่ขาวประดุจหยกข้างนั้น เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นมือของสตรี หรือว่าที่อยู่ด้านในหมอกควันสีดำนี้จะเป็นสตรีนางหนึ่ง?
เพียงแต่ว่าตอนนี้หลัวซิวไม่ได้ไปคิดอะไรมากมายเช่นนั้น เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ล้วนเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะใช้พวกหงเฟยเป็นเครื่องเซ่นสำหรับการสังเวยเลือด
หลัวซิวไม่ไปสนใจความเป็นตายของผู้อื่น แต่หงเฟยคือเยว่เอ๋อร์ของเขา!”
“ไปตายเสีย!”
หลัวซิวตะโกนออกมา กระบี่ไร้เงาและดาบเงาสายฟ้าพุ่งออกไปพร้อมกัน ช้องอากาศที่อยู่โดยรอบถูกตัดออกในทันที แสงสายฟ้าแพร่กระจาย
“ครืน!”
ศัสตราวุธราชาสองชิ้นและมือขาวดั่งหยกกระทบเข้าด้วยกัน แต่ที่ทำให้หลัวซิวต้องตกตะลึงก็คือ ศัสตราวุธราชาทั้งสองชิ้นกลับถูกกระแทกลอยออกไปภายในพริบตา
ในขณะเดียวกัน กระแสพลังอันแรงกล้าสายหนึ่งก็ได้โจมตีเข้ามา ทำให้ร่างกายของหลัวซิวสั่นสะท้าน เซถอยหลังในกลางอากาศไปหลายก้าว รู้สึกหวานที่ลำคอ แทบจะกระอักเลือดออกมา
แต่ว่าสำหรับหลัวซิวแล้วอาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่นับอะไร กระทั่งที่ว่าไม่จำเป็นต้องใช้ร่างอมตะด้วยซ้ำ กฎชีวิตขับเคลื่อนอยู่ในร่างกาย อวัยวะภายในที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ปีกเทพไร้มลทินกระพือถึงขีดสุด เขาพุ่งเข้าไปยังแท่นบูชาด้วยความเร็วสูงสุด เล็งไปที่เสาหินที่หงเฟยถูกผูกเอาไว้
“เจ้าคิดจะช่วยนางหรือ?”
เสียงของสตรีดังลอยออกมาจากหมอกดำ เพียงแต่ว่าน้ำเสียงนั้นเยือกเย็นจนเกินไป ราวกับว่าไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ อยู่เลย
หลัวซิวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ได้มาถึงตรงหน้าของหงเฟย ทว่าหงเฟยในตอนนี้กำลังสลบอยู่ ไม่รู้เลยว่าได้มีคนมาช่วยนาง
โซ่ควันดำที่ผูกรัดนางเอาไว้ ในนั้นแฝงไปด้วยพลังแห่งกฎดั้งเดิมขั้นเก้า หลัวซิวขับเคลื่อนกฎความตายที่มีพลังการโจมตีแข็งแกร่งที่สุด อาศัยพลังของร่างยุทธ์ร่างเนื้อเพียงอย่างเดียว และตัดโซ่ควันดำจนขาดไป จากนั้นก็กอดหงเฟยเอาไว้แนบอก
“เป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งจริง ๆ มิน่าในร่างกายของเจ้าถึงได้มีพลังแก่นแท้ชีวีอันมหาศาลอยู่”
น้ำเสียงของสตรีที่อยู่ในหมอกควันดำแฝงไปด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เพราะว่านางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจอมยุทธ์ที่สวมหน้ากากผู้นี้ มีผลการฝึกตนเพียงแค่ในแดนเทพฟ้าขั้นเจ็ดเท่านั้น ทว่าร่างยุทธ์ร่างเนื้อกลับสามารถทัดเทียมได้กับศัสตราวุธราชา มันช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ
“เทพฟ้าขั้นเจ็ด ไม่นึกเลยว่าจะมีความสามารถระดับนี้……”
ไอสังหารอันแรงกล้าก้อนหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากหมอกดำ ภายใต้การครอบงำของไอสังหารก้อนนี้ ทำให้หลัวซิวถึงกับรู้สึกว่าผิวหนังของเขากำลังถูกฉีก
ยิ่งไปกว่านั้นแล้วไอสังหารก้อนนี้ยังให้ความรู้สึกเก่าแก่ผ่านกาลเวลามายาวนาน ราวกับว่าเจ้าของของไอสังหารกลุ่มนี้ เป็นเฒ่าประหลาดที่ได้บำเพ็ญตนมานาน
หลัวซิวเปลือกตากระตุก ตลอดเวลามานี้หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนบอกระดับผลการฝึกตนของเขาออกมาเอง ต่อให้เป็นฝีมืออย่างจีเสวียนคงถ้าหากไม่สืบค้นอย่างละเอียดละก็ ก็ไม่สามารถดูระดับผลการฝึกตนของเขาออกได้
แต่สตรีลึกลับที่อยู่ในหมอกดำผู้นี้ กลับสามารถมองระดับผลการฝึกตนของเขาออกอย่างง่ายดาย เป็นที่ประจักษ์ว่านางจะต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน
วินาทีที่ไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวได้แผ่ซ่านออกมา แส้ยาวที่เกิดจากการผนึกรวมของหมอกดำเส้นหนึ่งได้ฟาดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
การโจมตีเช่นนี้ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจนัก แต่กลับให้ความรู้สึกไม่อาจต้านทานได้กลับหลัวซิว ดังนั้นสัญชาตญาณแรกของเขาก็คือขยับหลบ
ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของปีกเทพไร้มลทินได้ระเบิดออกมา ทว่าไอสังหารอันน่าตกตะลึงกลับไปผนึกปริภูมิโดยรอบเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกฎปริภูมิหรือกฎความเร็ว ล้วนได้ถูกกดบังคับจากไอสังหารที่ครอบคลุมอยู่โดยรอบ
ผลัวะ!
แส้ยาวหมอกดำได้ฟาดผ่านกฎปริภูมิเข้ามาได้อย่างง่ายดาย การโจมตีจากแส้ยาวหมอกดำยังไม่ทันได้มาถึง ไปสังหารอันแรงกล้าก็ได้จู่โจมเข้าสู่ตัวสำนึกของหลัวซิว