และยังมีเคล็ดวิชาจุดลมปราณของเขา ทรัพยากรที่ต้องสูญเสียไปนั้น อยู่เหนือกว่าเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าเสียอีก
ความคิดขับเคลื่อน ร่างของหลัวซิวก็ได้ออกมาจากโซนสงสารวัฏ และปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอก
ดวงดาวดวงนั้นได้หายไปแล้ว ภายใต้การโจมตีของตำหนักวัฏสงสาร แม้กระทั่งดวงดาวก็ยังถูกทำลาย แล้วจะนับอะไรกับปีศาจสาวชุดดำที่แปลงร่างมาจาก เถาปีศาจโลหิตมารกระหาย?
“เมื่อไหร่กันข้าถึงจะมีพลังที่สามารถทำลายดวงดาวหนึ่งดวงได้?” หลัวซิวกวาดสายตามองฝุ่นละอองที่ลอยเต็มอยู่ในจักรวาล ภายในใจก็ต้องทอดถอนใจ
มีเพียงผู้แข็งแกร่งแดนจ้าวมหาเทพถึงจะมีพลังที่สามารถทำลายดวงดาวดวงหนึ่งได้ หลัวซิวประเมินอยู่ภายในใจว่าการโจมตีที่ตัวมรณาขับเคลื่อนตำหนักวัฏสงสาร เทียบได้กับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพแล้ว
พลิกฝ่ามือ ตำหนักทองเหลืองโบราณขนาดเท่าฝ่ามือได้ปรากฏขึ้นที่ใจกลางฝ่ามือซ้ายของเขา ส่วนที่ใจกลางฝ่ามือขวามีลูกแก้วความเป็นตายที่ไร้ซึ่งแสงสว่างลอยอยู่
ตอนนี้ตัวมรณาได้หลับใหลไปแล้ว ก่อนที่ตัวมรณาจะหลับใหลไป ตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตายได้ถูกเขาใช้เคล็ดวิชาพิเศษอย่างหนึ่งผนึกเอาไว้ ทำให้ตอนนี้หลัวซิวสามารถขับเคลื่อนของขลังทั้งสองชนิดมารับมือกับศัตรูได้
“จะต้องรีบเพิ่มระดับผลการฝึกตนของข้าโดยเร็ว”
ตำหนักวัฏสงสารสามารถใช้ทับเพื่อสังหารศัตรูได้ ลูกแก้วความเป็นตายสามารถดูดซับพลังชีวิตและชี่มรณะของสรรพสิ่งได้ นอกจากนี้แล้วปริภูมิที่อยู่ในลูกแก้วยังได้ซ่อนเงาสะท้อนของวัฏสงสารโบราณเอาไว้ ถ้าหากแสดงออกมาละก็ ก็จะต้องเป็นอาวุธสังหารอย่างหนึ่งแน่นอน
หลัวซิวเพียงแค่ครุ่นคิดเล็กน้อยเข้าใจถึงเจตนาของตัวมรณาขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้ตำหนักวัฏสงสารจู่โจมออกมาด้วยพลังที่น่าตกตะลึงซึ่งสามารถทำลายดวงดาวได้ จากนั้นยังได้ทิ้งของขลังทั้งสองอย่างเอาไว้ให้ตนเอง ก็เพราะต้องการให้หลัวซิวฝึกเซ่นสุดยอดอาวุธทั้งสองชิ้นนี้เพื่อใช้เป็นอาวุธมรรคผลของตนเอง
ของขลังทั้งสองชิ้นนี้ได้แปลงมาจากชิ้นส่วนของวัฏสงสารโบราณที่พังทลาย ถ้าหากใช้มันเป็นอาวุธชีวีมรรคผล เช่นนั้นหลัวซิวก็จะต้องฝึกฝนวิถีวัฏจักรถึงจะทำให้ของคลังทั้งสองชนิดนี้เพิ่มระดับขึ้นไปอย่างไม่หยุด และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
กล่าวโดยรวม ตัวมรณายังคงอยากจะให้หลัวซิวเดินวิถีวัฏจักร เพียงแต่ว่ากล่าวโน้มน้าวไม่เป็นผล ดังนั้นจึงต้องการใช้วิธีอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
“เส้นทางของข้า จะไม่ใช้ผู้อื่นมาจูงจมูกอย่างแน่นอน”
พลิกมือเก็บของขลังทั้งสองชนิดลงไป หลัวซิวไม่ได้เก็บพวกมันลงในตัวหยั่งรู้และจุดตันเถียนด้วยซ้ำ แต่ได้เก็บเข้าไปไว้ในแหวนเก็บของแทน
เหมือนกับคำพูดที่ว่าความคิดต่างกันเดินด้วยกันไม่ได้ ระหว่างเขาและตัวมรณา หลัวซิวไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเหตุไม่คาดฝันใด ๆ ขึ้นเพียงเพราะของขลังสองชิ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงได้มีการระวังป้องกันตัวมรณาขึ้นมาเล็กน้อย
สำหรับหลัวซิว เขาจะไม่เอาฐานะจ้าววัฏสงสารยุคที่สิบก็ได้ เขาคิดแม้กระทั่งว่าถ้าหากได้พบเข้ากับคนที่เหมาะสม เขาก็จะถ่ายทอดวิถีวัฏจักรให้กับคนอื่น
การพังทลายของดวงดาวดวงหนึ่ง จะทำให้เกิดพลังการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว รูปร่างของดวงดาวจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปจนหมด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็จะต้องได้รับบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน
ในดวงดาวที่อยู่ห่างออกไป หงเฟยมองดูทั้งหมดนี้อย่างเหม่อลอย วันเวลาที่อยู่กับหลัวซิวได้ปรากฏขึ้นมาในสมองภาพแล้วภาพเล่า
ครั้งแรกที่พบกัน อยู่ที่งานประมูล เขาได้ประมูลอัคคีเทพเพลิงดาราไป ถามตัวเองว่ารู้จักเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่หรือไม่
ต่อมา เขาบอกว่าตนเป็นภรรยาของเขา สาเหตุที่จำเขาไม่ได้เป็นเพราะตนได้ถูกลบความทรงจำไป
เนื่องจากความดื้อรั้นและหัวแข็งที่อยู่ส่วนลึกภายในหัวใจ นางไม่อยากจะยอมรับว่าตนเองจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้ เพราะว่านางไม่ได้เตรียมใจในการยอมรับทุกอย่างนี้เอาไว้เลย
สำหรับความทรงจำในอดีตของตนเอง นางก็อยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกัน แต่จู่ ๆ ก็มีสามีเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ยากที่จะทำใจยอมรับได้ในทันที
บางทีอาจเป็นเพราะหลิวเซี่ยหานได้ลงตัวต้องห้ามเอาไว้บนตัวของนางเมื่อนานมาแล้วก็เป็นได้ นางไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่ดวงดาวร้างแห่งนี้เสียแล้ว