ห้วงดารา ณ ตำแหน่งที่ตั้งของแดนเทวนิรันกาลนั้นงดงามมากจริง ๆ แต่ทว่าหลัวซิวกลับไม่มีจิตใจที่เพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามนี้เลยแม้แต่น้อย
“ยัยหนู เจ้าวางแผนที่จะออกเดินทางไปพร้อมกับข้า หรือแยกย้ายกันออกปฏิบัติการ?”หลัวซิวถาม
ครั้นเมื่อพาจีเสี่ยวจื่อเข้ามา เดิมทีหลัวซิวคิดว่าจีเสวียนคงจะกำชับให้ตัวเองดูแลเสี่ยวจื่อดี ๆ ทว่ากลับนึกไม่ถึงเลยว่าจีเสวียนคงจะบอกว่าปล่อยให้จีเสี่ยวจื่อฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์บางอย่างด้วยตนเองคนเดียว
โลกของนักยุทธ์ก็โหดเหี้ยมเช่นนี้แหละ ดอกไม้ที่เติบโตได้แค่ในห้องอบ ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีวันได้ล้างบาปโดยความทุกข์ยากลำบากของชีวิต เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจีเสวียนคงไม่มีความคิดที่จะให้หลานสาวของตัวเองเป็นเด็กสาวว่านอนสอนง่ายแต่อย่างใด
“อาฮะ ก็ต้องแยกย้ายกันปฏิบัติการอยู่แล้วสิ หากอยู่กับท่านละก็ การฝึกฝนของข้าก็จะไม่บรรลุผล”ราวกับว่าจีเสี่ยวจื่อก็เข้าใจในความตั้งใจของท่านปู่ตนมาก ๆ
“อย่างนั้นก็ดี เจ้าเองก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
หลัวซิวผงกหัว จากนั้นเขาก็ง้างมือร่ายพลังตราประทับหนึ่งกะทันหัน ร่ายพลังตราประทับเข้าไปในร่างกายของจีเสี่ยวจื่อ
แม้จีเสี่ยวจื่อจำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาและฝึกฝนอย่างหนัก แต่หลัวซิวไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ต่อหลานสาวคนนี้ของอาจารย์ตัวเอง เมื่อมีพลังตราประทับดังกล่าวอยู่บนตัว เขาจะสามารถรับรู้ได้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของจีเสี่ยวจื่อได้ตลอดเวลา
ในฐานะที่เป็นหลานสาวของจีเสวียนคง บนตัวจีเสี่ยวจื่อก็ต้องมีอุบายคุ้มกันชีวิตและไพ่เด็ดมากมายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว การที่ร่ายพลังตราประทับไว้บนตัวนางนั้น ถือเป็นการรับประกันความปลอดภัยเพิ่มหนึ่งขั้น
“ศิษย์พี่หลัว ข้าไปฝั่งนั้นแล้วนะเจ้าคะ!”
จีเสี่ยวจื่อเลือกทิศทางหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็หยิบของขลังหกเหินออกมาหนึ่งชิ้น แล้วหายวับไปจากพื้นที่อันไกลโพ้นในห้วงดาราอย่างรวดเร็ว
ของขลังหกเหินชิ้นหนึ่งที่นางเอาออกมาโดยไม่คิดอะไรมากก็เป็นของขลังระดับศัตราวุธราชาแล้ว อีกทั้งยังเพียงพอที่จะถูกเรียกว่าเป็นของขลังชั้นยอดในบรรดาศัตราวุธราชาแล้ว
แดนเทวนิรันกาลกว้างใหญ่มาก ๆ การที่อยากจะตามหาดอกถานฮวาเทียนเต้า หินนิรันดร์รวมไปถึงกระบี่ตรีภพในสถานที่เช่นนี้ให้พบนั้น มันยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
ดังนั้นหลัวซิวจึงเลือกที่ไม่ตั้งใจไปตามหามันอย่างสุดความสามารถเสียเลย การที่อยากครอบครองสมบัติในทำนองนี้นั้น จำเป็นต้องมีโอกาส เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว สมบัติก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้าเจ้าตามธรรมชาติเอง
ผ่านไปไม่นานนัก หลัวซิวก็ไปถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง แม้ทรัพยากรบนดาวเคราะห์ดวงนี้จะมีเยอะมาก ๆ แต่ทรัพยากรส่วนมากล้วนเป็นทรัพยากรการฝึกตนที่ระดับค่อนข้างต่ำและธรรมดา เกรงว่าอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมากที่เข้ามาในแดนเทวนิรันกาล คงไม่มีผู้ใดต้องตาทรัพยากรเหล่านี้หรอก
อย่างไรก็ตามผู้อื่นไม่ต้องตา หลัวซิวกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาแทบจะกวาดล้างทรัพยากรทั้งหมดที่อยู่บนดาวเคราะห์จนหมดด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด ทรัพยากรทั้งหมดที่ค้นหามาได้ล้วนถูกเขาเก็บเข้าไปในโลกาจุดลมปราณร่างใน
ผู้คนในสำนักไท่เสวียนที่อยู่ในโลกาจุดลมปราณร่างในของเขามองดูจนเหม่อลอยไปแล้ว เนื่องจากมีทรัพยากรการฝึกตนและสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าดุจเม็ดฝน
สำหรับผู้คนในโลกาชั้นฟ้าแล้ว ทรัพยากรเหล่านี้ก็เหมือนขยะที่พวกเขาไม่ชายตาลงไปมอง ทว่าสำหรับสำนักไท่เสวียนที่ผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงสุดเป็นเพียงเทพมารแล้ว พวกเขากลับรู้สึกเหมือนได้รับสมบัติอันล้ำค่า
พูดถึงสำนักไท่เสวียน สำหรับหลัวซิวแล้วมันเป็นเพียงการฝากฝังส่วนหนึ่งของอดีต เนื่องจากพ่อแม่และญาติพี่น้องของเขาล้วนใช้ชีวิตอยู่ภายใน
แต่แท้จริงแล้ว ผู้คนในสำนักไท่เสวียนที่คุ้มแก่การให้หลัวซิวเอาใจใส่นั้น กลับมีเพียงไม่กี่คน
อีกทั้งเมื่อมองในมุมโลกาชั้นฟ้า ระดับพรสวรรค์ของผู้คนในสำนักไท่เสวียนนั้นก็ดูเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลยด้วยซ้ำ และไม่เหมาะกับการพัฒนาในโลกาชั้นฟ้าเช่นกัน หลัวซิวก็วางแผนแล้วว่าหากมีโอกาสละก็ เขาจะส่งพวกเขากลับไปยังโลกามนุษย์
ถึงแม้โลการ่างในของเขาก็เป็นทำนองเดียวกันกับโลกาที่ผู้แข็งแกร่งราชาเทพบุกเบิก ทว่าอย่างไรเสียมันเป็นโลกาที่ตัดขาดกับโลกภายนอก แล้วจักมีสักกี่คนที่ยอมอยู่ในพื้นที่ที่ตัดขาดกับโลกภายนอก วัน ๆ ก็ทำได้เพียงตบะอย่างเดียวเล่า?