มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1946
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทพบุตรท้ายแถวคนนี้ของวังมหาวาลเป็นคนที่ใจเหี้ยมใจจืดคนหน่ึงจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าแหใหญ่สีเขียวนั่นกำลังจะแผ่คลุมลงมาแล้ว ส่วนเสิ่นปิงหยูสตรีทั้งสองกลับไม่มีแรงที่จะต่อต้านได้เลยด้วยซ้ำ
ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ล้วนนิ่งเงียบ นี่เป็นการต่อสู้ภายในวังมหาวาล ไม่มีผู้ใดมีความคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ทว่าในเวลานี้เอง เงาดำร่างหนึ่งกลับจุติลงมาจากฟ้ากะทันหัน คุ้มกันเสิ่นปิงหยูและสตรีข้างกายนางเอาไว้ด้านหลัง
“ฉึก!”
แสงหอกดวงหนึ่งฉีกกระชากปริภูมิ แหใหญ่สีเขียวนั่นจึงถูกฟันจนแหลกสลายคาที่ สีหน้าของนักยุทธ์ที่เรียกแหเขียวออกมาเปลี่ยนไป และถูกพลังโจมตีแว้งทำร้าย
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ดึงดูดความสนใจของคนได้ไม่น้อย แหใหญ่สีเขียวนั่นคือของขลังระดับมกุฎเทพ ไม่นึกเลยว่าจะถูกผู้อื่นทำลายล้างในกระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าเองหรือ?”
ดวงตาของซูปินดูเข้มงวดขึ้น เขาไม่รู้จักหลัวซิวแต่อย่างใด ทว่ากลับทราบอยู่ว่าคนดังกล่าวเคยทะเลาะเบาะแว้งกับมู่ช่าวหวง อีกทั้งสตรีที่อยู่ข้างกายเขายังมีผลการฝึกตนเป็นมกุฎเทพด้วย
เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป ซูปินก็มองเห็นอสูรดูดจิตตัวหนึ่ง อีกทั้งมองเห็นจีเสี่ยวจื่อที่กำลังยืนอยู่บนศีรษะของอสูรยักษ์ที่หน้าตาดุร้ายตัวนี้
“สหาย เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวังมหาวาลของเรา?”ซูปินไม่อยากรุกรานยอดฝีมือที่มีศักยภาพลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ ด้วยเหตุนี้น้ำเสียงที่เขาพูดก็ค่อนข้างรื่นหูเช่นกัน
“พวกคนที่อยู่ข้างกายเจ้าก็เป็นคนในวังมหาวาลเช่นกันหรือ?”หลัวซิวเบ้ปาก “ในเมื่อคนที่อยู่ข้างกายเจ้าสามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ แล้วเหตุใดข้าถึงไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ด้วยเล่า?”
“เจ้าหนู มึงจองหองมากเลยนี่”
ชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของของขลังแหใหญ่สีเขียวที่ถูกหลัวซิวทำลายในเมื่อครู่นี้แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น “ถ้าเก่งจริงก็บอกความเป็นมาของมึงมา กล้าเข้ามาเสือกเรื่องของสำนักจักรพรรดิมรณะของพวกกูอย่างนั้นหรือ ไอ้คนไม่รู้จักความเป็นความตาย!”
“เสียงดังชะมัด!”
หลัวซิวเกลียดผู้ที่ชอบพูดจาไร้สาระเช่นนี้มากที่สุดแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลงมือโดยตรง เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง หอกมังกรแดงมืดฉีกกระชากปริภูมิพลางทิ่มแทงตรงไป
ชายหนุ่มเย็นชาผู้นั้นทราบอยู่ว่าหอกมังกรแดงมืดสามารถฉีกกระชากของขลังอย่างแหใหญ่สีเขียว เท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นอาวุธสงครามชิ้นหนึ่งที่พลานุภาพทรงพลังมาก ๆ ดังนั้นเขาก็ไม่กล้าประมาทเช่นกัน ง้างมือปล่อยกงล้อเทพมรณาออกไป
วรยุทธ์ที่ศิษย์อัจฉริยะในสำนักจักรพรรดิมรณะฝึกต้องเป็นบำเพ็ญพลิกทมิฬอยู่แล้ว ของขลังอาวุธสงครามที่ฝึกเซ่นทั่วไปก็ล้วนฝึกเซ่นโดยดาบมารมรณา กงล้อเทพมรณาหรือจำพวกหอคอยเทพมรณาเป็นหลัก
ซึ่งกงล้อเทพมรณานี้คือศัตราวุธราชาขั้นสูงชิ้นหนึ่ง ทันทีที่เรียกออกมา ก็มีพลังแห่งกฎความตายที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมา
“เตี๊ยง!”
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องขึ้นมา กงล้อเทพมรณาถูกหลัวซิวโจมตีจนกระเด็นออกไปภายในกระบวนท่าเดียว ถัดจากนั้นอานุภาพของหอกมังกรที่อยู่ในมือเขาไม่ลดน้อยลงเลย ทะลวงระยะห่างระหว่างปริภูมิโดยตรง ก่อนจะมีเสียงฉึกดังขึ้น หอกก็ได้แทงเข้าไปกลางหว่างคิ้วของคนดังกล่าวแล้ว
ชายหนุ่มเย็นชาเบิกตากว้าง เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าในฐานะที่เป็นอัจฉริยะของสำนักจักรพรรดิมรณะ ประจันหน้ากันเพียงครั้งเดียว ตนก็ถึงกับถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารแล้ว
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุล้วนเงียบกริบลงไป รูม่านตาของมู่ช่าวหวงที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวจากที่ไกล ๆ ก็หดลงเช่นกัน เนื่องจากเขาค้นพบว่าศักยภาพของหมอนั่นแข็งแกร่งกว่าครั้นเมื่อประมือกับเขาแล้ว
นี่จึงทำให้มู่ช่าวหวงสัมผัสได้ถึงการคุกคาม ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ศักยภาพของคนคนหนึ่งได้รับการยกระดับที่ไม่น้อย เท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าบางทีเจ้าหมอนั่นอาจจะตระหนักรู้อะไรบางอย่างจากหินนิรันดร์ได้แล้ว
ทุกคนที่เข้ามาในแดนเทวนิรันกาล มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบว่าหินนิรันดร์อยู่ในมือเจ้าหมอนั่น
สีหน้าของซูปินก็ขาวซีดเล็กน้อยเช่นกัน เขาที่คิดว่าตนกุมชัยชนะอยู่ในกำมือในตอนแรก นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่น่าสยดสยองเช่นนี้บุกฆ่าเข้ามากลางคัน
ในมหาโลกาพันสาม จำนวนสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีไม่น้อยเลย แต่ใช่ว่าอัจฉริยะทุกคนที่กำเนิดจากสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีศักยภาพอย่างพระโอรสจ้านเทียนและมู่ช่าวหวงเสมอไป