ในฐานะที่เป็นเทพบุตรท้ายแถวที่โดดเด่นของวังมหาวาล จากบรรดาผู้สืบทอดสำนักจักรพรรดิทั้งหมด ศักยภาพของซูปินมากสุดก็ถือว่าอยู่ระดับกลาง
หากศักยภาพของตัวเองแข็งแกร่งมากพอ เขาก็คงไม่ไปสมคบกับคนในสำนักจักรพรรดิมรณะเพื่อมาจัดการเสิ่นปิงหยูอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว
“ให้ข้าช่วยสังหารมันไหม”หลัวซิวใช้นิ้วชี้ไปทางซูปินพลางมองไปทางเสิ่นปิงหยู
นาง ณ วินาทีนี้มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก บนโฉมหน้าอันงดงามและเย็นชาดุจเทพธิดาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ พลางตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง: “ไม่ต้อง อนาคตข้าจะลงมือจัดการมันด้วยน้ำมือข้าเอง”
แตกต่างจากซูปิน เสิ่นปิงหยูเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม เทพธิดาของวังมหาวาลในอนาคตต้องเป็นนางอย่างแน่นอน และตำแหน่งเจ้าอาจารย์ก็ต้องเป็นของนางอย่างแน่นอน!
หลัวซิวอมยิ้มไม่ได้พูดอะไร ทว่าซูปินกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งไปเดินวนที่ประตูนรกมารอบหนึ่ง เมื่อครู่หากเสิ่นปิงหยูพยักหน้า เขาเชื่อว่าชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำนั่นต้องลงมือสังหารตนแน่นอน
“เหตุใดเจ้าถึงต้องช่วยข้า?”เสิ่นปิงหยูเขม็งมองหลัวซิวพลางถาม
“ข้าเป็นผู้ที่ทนดูสาวงามถูกรังแกไม่ได้ จึงต้องยื่นมือช่วยเหลืออยู่แล้ว”หลัวซิวยิ้มพลางพูดหยอกล้อ
เสิ่นปิงหยูขมวดคิ้ว นางไม่เชื่อคำพูดของฝ่ายตรงข้ามหรอก ในส่วนของจุดประสงค์ที่คนดังกล่าวช่วยเหลือนางนั้น นางเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ด้วยซ้ำ
นางนึกอย่างไรก็ไม่มีทางนึกถึงว่านักยุทธ์โลกามนุษย์ที่นางเคยเชิญชวนให้เข้าร่วมวังมหาวาลเมื่อครั้นนั้น จะเป็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง
“ท่านคือผู้ใดกันแน่?”เสิ่นปิงหยูเปลี่ยนลักษณะคำถามใหม่
“ข้ามีนามว่าเหยียนโม่!”หลัวซิวตอบกลับพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เหยียนโม่?”เสิ่นปิงหยูขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ นางไม่คุ้นเคยกับชื่อดังกล่าว และไม่มีอยู่ในความทรงจำของนางเลย
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรอีก ง้างมือโยนขวดหยกให้นางหนึ่งขวดพลางพูด: “ด้านในมียาถอนพิษ ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถถอนผงสิบพิษผนึกปราณที่อยู่บนตัวเจ้าได้”
ในฐานะที่เป็นนักยาเซียนระดับมกุฎ หลัวซิวเคยลองกลั่นยาเซียนระดับมกุฎมาหลากหลายรูปแบบแล้ว ซึ่งยาถอนพิษนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน และหลัวซิวก็เคยกลั่นยาพิษที่มีพิษรุนแรงแฝงซ่อนด้วย
แววตาของเสิ่นปิงหยูดูระแวง หลัวซิวก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากด้วย เงาร่างกระพริบ ก่อนจะปรากฏเหนือศีรษะอสูรดูดจิตอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ นางคือผู้ใดหรือเจ้าคะ?”จีเสี่ยวจื่อถามด้วยน้ำเสียงที่อิจฉาเล็กน้อย นาดูออกอยู่ว่าเหมือนหลัวซิวจะรู้จักกับสตรีนางนั้น มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางลงมือช่วยเหลือแน่นอน
“เทพธิดาท้ายแถวของวังมหาวาล เสิ่นปิงหยู ระหว่างข้ากับนางถือเป็นศัตรูต่อกัน”หลัวซิวยิ้มพลางตอบกลับ
“พี่สาวท่านนั้นงดงามปานนั้นและมีออร่าด้วย ศิษย์พี่คงไม่ได้ตกหลุมรักนางหรอกกระมัง?”ใบหน้าของจีเสี่ยวจื่อเปี่ยมล้นไปด้วยความซุกซนพลางถามอย่างลองเชิง
“ยัยซื่อบื้อ ในสมองเจ้ามีแต่อะไรเนี่ย?”หลัวซิวหมดคำจะพูด ก่อนจะยื่นมือออกไปขยี้ผมของจีเสี่ยวจื่อ
“โครมคราม! ……”
และในเวลานี้เอง เสียงที่ดังสนั่นจนสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็สะท้อนมา ในขณะเดียวกันยังมีเสียงคำรามกรีดร้องของวิญญาณและญาณอาฆาตที่นับไม่ถ้วนด้วย
ภายในเสียงกรีดร้องของญาณอาฆาตมีพลังโจมตีวิญญาณแฝงซ่อนอยู่ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ตัวหยั่งรู้ของคนจำนวนมากล้วนถูกโจมตี จนทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่ชั่วขณะ
ตั้งแต่วินาทีที่กระบี่ผงาดตรีภพปรากฏกระทั่งถึงบัดนี้ เวลาก็ผ่านพ้นไปปีกว่าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว ในที่สุดพระโอรสจ้านเทียนผู้ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของมหาโลกาพันสามก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว
พระราชสาส์นหนึ่งที่อยู่ในมือเขากางออก ด้านบนมีลักษณะขีดเขียนของพู่กันที่มีพลังมากจนแม้แต่มังกรพบเห็นก็ตื่นตะลึง ลายมือพู่กันหนักแน่นและนุ่มนวลงดงาม มีตัวหนังสือเพียงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือคำว่า รบ!
ซึ่งภายในคำว่า‘รบ’มีความเร้นลับอันไร้ขอบเขตแฝงซ่อนอยู่ มีพลังออร่าที่มีอำนาจสูงสุดในโลกหล้า เป็นผู้ไร้เทียมทานในห้วงดาราแผ่กระจายออกมา
“ระ……หรือว่านี่คือตัวหนังสือหนึ่งที่มหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียนลงมือเขียนด้วยตนเอง?”ทุกคนล้วนรู้สึกช็อกจนพูดอะไรไม่ออก
เห็นเพียงพระโอรสจ้านเทียนจับพระราชสาส์นดังกล่าวไว้ในมือ พลางเดินตรงไปทางกระบี่ผงาดตรีภพ วิญญาณผูกอาฆาตและญาณอาฆาตที่นับไม่ถ้วนคำราม คำว่า‘รบ’บนพระราชสาส์นกลายเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง มือใหญ่กำหมัด และบดขยี้ทุกสรรพสิ่งที่ขวางกั้นให้แหลกสลายเป็นฝุ่นผงด้วยอำนาจแห่งผู้ไร้เทียมทาน