ค่ายกลที่รายล้อมอยู่รอบลานสวน ต่างก็เป็นค่ายที่เขาจัดวางเอาไว้ในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นระดับความรู้ลึกซึ้งด้านค่ายกลของเขาในวันนี้ได้เข้าสู่แดนปรมาจารย์ระดับมกุฎแล้ว สามารถเดินผ่านวิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้ได้ตามที่ใจต้องการ
แต่เมื่อมาถึงลานสวนแล้ว กลับอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะว่าที่ด้านของลานสวนกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงออร่าของฉียู่หรงและหนิงหานยู่ และเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่นี่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอาศัยอยู่ในนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว
“ไม่มีคนอยู่หรือ?” จีเสี่ยวจื่อเดินตามมาด้านหลังหลัวซิว หันหน้าไปมองทั่วทั้งสี่ทิศ ก็ไม่พบว่ามีคนอื่นอยู่
“ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ในตอนนั้นข้าให้คำมั่นกับพวกนางไว้แล้วว่าจะกลับมาที่นี่” หลัวซิวพูดเสียงขรึม เขาดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“เป็นไปได้ว่าพวกนางมีบางอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นพวกนางจึงออกไป?” จีเสี่ยวจื่อกล่าว
หลัวซิวส่ายหน้าไปมา นางรู้จักนิสัยของฉียู่หรงและหนิงหานยู่ยิ่งกว่าใคร ตราบใดที่เขาไม่กลับมา แม้ว่าพวกนางจะออกไปข้างนอก ก็ไม่มีทางที่จะออกไปนานโดยไม่กลับมา และแม้ว่าจะมีอะไรต้องออกไปข้างนอก ก็จะต้องฝากข้อความถึงเขาไว้ที่ลานสวนอย่างแน่นอน
แต่ในความเป็นจริงเขาไม่พบอะไรเลยในลานสวน เป็นไปได้มากว่าอาจเป็นเรื่องเร่งด่วน จนพวกนางไม่มีเวลาแม้แต่จะฝากข้อความถึงตน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็หมุนตัวเดินออกจากลานสวนไป ไม่นาน ก็มาถึงอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งใจกลางเมือง
เพราะว่าจินเฮ่าซิงคือดาราเชื่อมต่อของโลกามนุษย์ ดังนั้นทุกอย่างที่นี่จึงชุลมุนไปหมด ข้อมูลข่าวสารก็มีอยู่มากมาย
ในตอนที่หลัวซิวเพิ่งมายังมหาโลกายอดอัมพร ก็เคยมายังอาคารพาณิชย์แห่งนี้เพื่อซื้อข้อมูล
แต่ในครั้งนี้ เขามายังอาคารพาณิชย์อีกครั้ง ก็เพื่อสืบหาเรื่องราวเกี่ยวกับฉียู่หรงและหนิงหานยู่
เขาเชื่อว่า ตราบใดที่มีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองนี้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยหรือใหญ่หลวงเพียงใด ก็หนีไม่พ้นหูตาของอาคารพาณิชย์เหล่านี้
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อหลัวซิวออกมาจากอาคารพาณิชย์ สีหน้าของเขาก็คร่ำเครียดถึงขีดสุด ปกคลุมไปด้วยความเย็นยะเยือก
จีเสี่ยวจื่อติดตามอยู่ข้างกายเขา เมื่อครู่ตอนที่เขาซื้อข้อมูลจากอาคารพาณิชย์ นางก็ได้ยินเนื้อหาที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน สีหน้านั้นก็ไม่ได้ดีไปมากกว่าหลัวซิวเท่าใดนัก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางสามารถมั่นใจได้ ก็คือผู้มักมากในกามตัณหาที่มีนามว่าเซวียนจิงหยุนถึงฆาตแล้ว!
……
เขาเจี้ยนโหยวอยู่บนจินเฮ่าซิง เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยังถูกเรียกว่าเป็น มหาปรมาจารย์อันดับหนึ่งในจินเฮ่าซิง อย่าว่าแต่มีชื่อเสียงในจินเฮ่าซิง แม้แต่ในพื้นที่รอบ ๆ ที่มีดาราใกล้เคียงหลายดวง ก็ยังถือได้ว่าเป็นกองกำลังใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาก
เขาเจี้ยนโหยว เป็นสถานที่ที่มีพลังจิตเข้มข้นที่สุดของห้วงดาราจินเฮ่าซิง ทุกครั้งที่เขาเจี้ยนโหยวเปิดรับศิษย์ ต่างเป็นความรุ่งเรืองของเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์จำนวนมากของจินเฮ่าซิงรวมถึงจากดาราที่อยู่ใกล้เคียงด้วย เพราะว่าเพียงแค่สามารถเข้ามาฝึกตนที่เขาเจี้ยนโหยว ความสำเร็จในอนาคตจะไม่มีทางน้อยลงอย่างแน่นอน
ที่บริเวณตีนเขาเจี้ยนโหยว หลัวซิวและจีเสี่ยวจื่อได้มาถึงที่นี่แล้ว เหลือบตาขึ้นไปมอง ด้านบนของเขาเจี้ยนโหยวได้สร้างห้องใต้หลังคาของตำหนักเอาไว้มากมายนับไม่ถ้วน บรรยากาศสุดอลังการ
“หือ? ศิษย์พี่หลี่ ท่านเห็นเงาหนึ่งบินผ่านไปหรือไม่?”
ใต้เขาเจี้ยนโหยว มีศิษย์สองคนคอยพิทักษ์อยู่ หนึ่งในสองคนนั้นอยู่ ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“เจ้าไม่ได้ตาลายไปเองหรือ? แค่รู้สึกถึงลมที่พัดผ่านมา จะมีเงาได้อย่างไรกัน” คนที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หลี่มุ่ยปาก กล่าวด้วยทางทีไม่เห็นด้วย
สองคนนี้ เป็นเพียงแค่ศิษย์ทั่วไปที่มีผลการฝึกตนเทพมารเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของหลัวซิวในวันนี้ อาศัยเพียงความเร็วสูงสุดของตน ก็สามารถทำให้พวกเขาไม่รู้สึกถึงมันเลยด้วยซ้ำ
หลัวซิวและจีเสี่ยวจื่อต่างฝึกตนโดยมีกฎปริภูมิ ทั้งสองโคจรพลังแห่งกฎในเวลาเดียวกัน ทำให้ร่างนั้นซ่อนเข้าไปในความว่างเปล่า ตลอดทั้งทางมาถึงยังใจกลางสำนักเขาของเขาเจี้ยนโหยวได้โดยไม่มีใครพบร่องรอยของพวกเขา