มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2002
โครม! โครม! โครม! ……
ทุกจุดในส่วนลึกของเทือกเขาวายุเปราะเต็มเปี่ยมไปด้วยสายฟ้าและพลังวายุ ถึงแม้จุดลมปราณที่ 18 จะพิชิตกฎดั้งเดิมสร้างกฎใหม่ขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่การที่ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวจะต้านทานการล้างบาปจากอัสนีวายได้นั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบากอยู่เล็กน้อย
แต่ทว่าครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องพิชิตกฎดั้งเดิมสร้างกฎใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว ดังนั้นจึงใช้กฎชีวิตสร้างม่านแสงคุ้มกันขึ้นมารอบกาย พลังแห่งอัสนีวายที่ตลบฟุ้งไปทั่วทั้งท้องฟ้าถูกต้านทานอยู่นอกร่างกาย
เกราะคุ้มกันจากกฎชีวิต ทำให้มีแสงสีขาวที่ขมุกขมัวเปล่งปลั่งอยู่ทั่วตัวหลัวซิว ราวกับเทพเจ้าที่จุติลงมายังโลกมนุษย์
เขาเดินออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของเทือกเขาวายุเปราะ และเจอจีเสี่ยวจื่อ ฉียู่หรงและหนิงหานยู่สตรีทั้งสามนางอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่!”
“พี่เย่!”
เมื่อสตรีทั้งสามนางเห็นหลัวซิว ภายในแววตาล้วนมีความเคารพเลื่อมใส เนื่องจากพวกนางต่างรู้ดีอยู่ว่าช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ หลัวซิวเพ็ญตนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของเทือกเขาวายุเปราะมาโดยตลอด
สถานที่เช่นนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้แต่พวกนางทั้งสามยังไม่กล้าเข้าใกล้ แต่หลัวซิวกลับสามารถฝึกฝนอยู่ภายในได้นานขนาดนี้ ศักยภาพเช่นนี้ช่างเป็นส่งที่ทำให้ผู้คนเอื้อมไม่ถึงจริง ๆ
“เราต้องออกจากที่นี่แล้ว”หลัวซิวกล่าว
“จักไปที่ใดหรือ?”หนิงหานยู่เป็นคนแรกที่เอ่ยปกาถามอย่างอดไม่ได้
“ไปโลกามนุษย์รอบหนึ่ง”หลัวซิวตอบกลับเช่นนี้
“โลกามนุษย์?”
ฉียู่หรงและหนิงหานยู่ต่างผงะไปเล็กน้อย อย่างไรเสียแม้ระยะเวลาที่พวกนางมาถึงมหาโลกายอดอัมพรไม่สั้น ทว่าเวลาส่วนมากล้วนฝึกตนอยู่บนจินเฮ่าซิง ยังไม่ทันได้ไปเปิดหูเปิดตาที่สถานที่อื่น ๆ เลย หรือว่าต้องกลับไปแล้ว?
แต่ทว่าภายในแววตาฉียู่หรงกลับมีความเย็นเยือกกระพริบผ่านเล็กน้อย เนื่องจากสำหรับนางแล้ว ยังมีบุญคุณความแค้นและผลกรรมช่วงหนึ่งที่ยังไม่ได้สะสางในโลกามนุษย์ นั่นก็คืออดีตผู้ทรยศตระกูลฉี
มีเพียงจีเสี่ยวจื่อเท่านั้นที่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ต่อเรื่องนี้ เนื่องจากครั้นเมื่อมาถึงดารายอดอัมพร หลัวซิวก็เคยบอกกับนางแล้วว่าจะลงไปยังโลกามนุษย์
หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก แท้จริงแล้วสาเหตุที่เขาตัดสินใจลงมายังโลกมนุษย์นั้น ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่เกิดจากภัณฑ์เทพล้ำค่าทั้งสามชิ้นนั้นในแดนเทวนิรันกาล จักรวาลของโลกามนุษย์ถูกคุ้มกันโดยเกณฑ์เทียนเต้า ผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพเป็นต้นไปไม่สามารถลงไปยังโลกามนุษย์ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าพวกเฒ่าประหลาดระดับจักรพรรดิเทพจะลงมือจัดการตน
ในส่วนของผู้ที่อยู่ต่ำกว่าจ้าวมหาเทพนั้น มาตรแม้นว่ากึ่งจ้าวมหาเทพมาถึง หลัวซิวก็จะไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ขึ้นเรือ”
ยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง เรือรบสีทองลำหนึ่งจึงถูกหลัวซิวเรียกออกมา ซึ่งเรือรบลำนี้ก็คือเรือรบระดับจ้าวมหาเทพที่มู่ช่าวหวงควบคุมเมื่อครานั้นนั่นเอง อีกทั้งยังเป็นของชั้นยอดในของขลังระดับจ้าวมหาเทพด้วย มู่ช่าวหวงอาศัยสิ่งนี้ทำตัวหยิ่งผยองในแดนเทวนิรันกาล ซึ่งมีน้อยคนมากที่สามารถต่อกรกับเขาได้
การควบคุมของขลังระดับจ้าวมหาเทพชิ้นหนึ่งนั้น ต้องสูญเสียผลการฝึกตนเป็นจำนวนมาก ทว่ามันกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลัวซิว มีพลังอมตะอย่างสรรพสิ่งอิงหยินอุ้มหยาง หากพูดถึงความสามารถในการบินติดต่อกัน ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับเขาได้
โครม!
เรือรบลอยขึ้นกลางนภา ราวกับป้อมปราการที่สร้างมาจากทองคำ อัสนีวายนับไม่ถ้วนที่ม้วนซัดเข้ามาล้วนต้านทานอยู่นอกเกราะป้องกันของเรือรบ
หลัวซิวยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือรบพลางไขว้มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ด้านหลังมีสาวงามสามนางคอยอยู่เคียงข้าง พุ่งทะยานออกไปจากเทือกเขาวายุเปราะที่ทำให้ผู้คนต่างหวาดหวั่น
ครั้งนี้เขาไม่ได้เลือกนั่งเรืออนัตตาเพื่อมุ่งหน้าไปยังโลกามนุษย์ เนื่องจากเรืออนัตตาถือเป็นกิจการของหอยอดอัมพรรวมไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ หากเขาขึ้นเรืออนัตตา เช่นนั้นถึงจะเป็นการรนเข้าไปติดกับดักต่างหาก
มิหนำซ้ำเรือรบทองคำลำนี้ของเขา ไม่ได้ด้อยไปกว่าเรืออนัตตาเลย เมื่อเรือรบทองคำบินลอยขึ้นฟ้า ก็มีตัวสำนึกต่าง ๆ แผ่สำรวจมาทันที