มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2009
ฟังจากคำพูดของลู่เมิ่งเหยา อาจารย์ของนางเจ้ายุทธจักรหยกนาราถูกเทพมารที่สมาคมเฟยหยางส่งไปสังหารแล้ว ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้ายุทธจักรหยกนาราก็ใช้ความพยายามอย่างไม่หยุดยั้ง บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิ์ยุทธ์ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างสมาคมเฟยหยาง ก็ไม่มีกำลังที่จะคัดค้านได้เลยด้วยซ้ำ
และลู่เมิ่งเหยาก็ถูกเทพมารของสมาคมเฟยหยางจับกุมตัวมาทางนี้เช่นกัน พรสวรรค์ของนางถือว่าไม่เลวเลย ดังนั้นขณะที่ขายตัวนาง จึงถูกซื้อโดยคุณหนูของคฤหัสถ์กุยห่าย
จักรวาลนี้กว้างใหญ่ มีเรื่องแปลกสารพัดอยู่ทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้พูดได้แค่เป็นเรื่องบังเอิญ และสามารถพูดได้ว่าเป็นความทุกข์ทรมานของโลกแสงดาว
สิ่งที่โชคดีคือเนื่องจากโลกแสงดาวคือโลกาเทพฟ้า ได้รับการคุ้มกันโดยกฎเทียนเต้า สมาคมเฟยหยางไม่สามารถส่งเทพฟ้าไป ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่งเทพมารไป
กองกำลังส่วนมากล้วนถูกข้าศึกยึดแล้ว แต่ในโลกแสงดาวก็ยังมีอีกหลายกองกำลังที่ทนฝืนประคับประคองต่อไปได้ ทว่าก็อันตรายมากเช่นกัน ซึ่งกองกำลังที่ยืนหยัดต่อไปได้นานที่สุดก็คือสำนักไท่เสวียนที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้
ศึกสงครามในครั้งนั้น เรียกได้แต่ว่าต่อสู้กันได้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินมาก สมาคมเฟยหยางส่งเทพมารนับร้อยไปรุมโจมตี แต่ก็ถูกสำนักไท่เสวียนต้านทานเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตามนักยุทธ์ระดับเทพมารในโลกะอิมเอี๊ยงไม่ยิ่งใหญ่อะไรเลยด้วยซ้ำ สามารถเรียกระดมเทพมารได้เป็นจำนวนมาก หากไม่ใช่เพราะสมาคมเฟยหยางต้องส่งคนบางส่วนไปค้นและรีดไถทรัพยากรและสมบัติต่าง ๆ ในโลกาเทพฟ้าอื่น ๆ ละก็ มาตรแม้นว่าเป็นสำนักไท่เสวียนก็ต้านทานไม่ไหวอย่างแน่นอน
ดั้งเดิมของผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าผู้บุกเบิกโลกแสงดาว ถูกหลัวซิวทำลายทิ้งครั้นเมื่อข้ามผ่านทัณฑ์ เดิมทีคิดว่าหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปแล้ว ก็จะเป็นการตัดขาดบ่วงกรรมกับโลกแสงดาว
เมื่อดูจากบัดนี้แล้ว บ่วงกรรมนี้ไม่ได้ตัดขาดง่ายขนาดนั้น ในเมื่อเกิดเรื่องกับโลกแสงดาว เขาก็จำเป็นต้องเดินทางไปโลกแสงดาวหนึ่งเที่ยว
เวรกรรมหมุนเวียนเป็นวัฏจักร ซึ่งก็อยู่ในขอบข่ายของวิถียุทธวัฏสงสารเช่นกัน เป็นสิ่งที่ลึกลับและมหัศจรรย์มาก แต่ทว่ากลับเข้าใจไม่ยากนัก หากเขาไม่มีเวรกรรมอะไรต่อโลกแสงดาวแล้ว เขาก็คงไม่ได้พบเจอลู่เมิ่งเหยาที่นี่
จากระดับวิถียุทธ์ในปัจจุบันของหลัวซิว เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าเรื่องกรรมเป็นเรื่องที่ไม่ต้องไปใส่ใจมันมากนัก ทว่าก็จะไม่ใส่ใจเลยไม่ได้เช่นกัน การเข้าใจในบ่วงกรรมสามารถทำให้ตัวธรรมบริบูรณ์มากยิ่งขึ้น
“ยู่หรง ส่งสารให้ยัยหนูสองคนนั้น เราจะไปสมาคมเฟยหยางเที่ยวหนึ่ง”หลัวซิวเอ่ยปากพูด
“ได้เจ้าค่ะ”ฉียู่หรงรีบพลิกฝ่ามือหยิบม้วนหยกออกมา แล้วส่งสารให้หนิงหานยู่และจีเสี่ยวจื่อ
ยัยหนูสองคนนั้นกำลังเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองอิมเอี๊ยงอย่างสนุกสนาน เมื่อได้รับข่าวจึงวางจิตใจที่ขี้เล่นลง ก่อนจะพากันมารวมตัวกับพวกหลัวซิวที่ภัตตาคาร
“ศิษย์พี่ นางคือผู้ใดหรือ?”หลังจากที่จีเสี่ยวจื่อกลับมาแล้ว ก็เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของลู่เมิ่งเหยา จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างรู้สึกสงสัย
“สหายคนหนึ่งในบ้านเกิดข้าน่ะ”หลัวซิวยิ้มพลางตอบกลับ ในขณะเดียวกันเขาก็แนะนำให้พวกนางรู้จักซึ่งกันและกัน
“สวัสดี ข้าคือจีเสี่ยวจื่อ เป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่”
“ข้าคือหนิงหานยู่ เป็นน้องสาวของพี่หลัว”
“……”
มองดูสตรีทั้งสามที่อยู่ข้างกายหลัวซิว จิตใจของลู่เมิ่งเหยาจึงเศร้าสลดอย่างอดไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาเช่นกัน นางคาดหวังมาก ๆ ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้หากผู้ที่คอยติดตามอยู่ข้างกายเขาคือตนมันจะดีเท่าไหร่กันนะ?
นางชอบหลัวซิวจากหัวใจจริงจริง ๆ แต่ทว่านางเมื่อปีนั้นรู้สึกว่าทั้งสองไม่ใช่คนในโลกเดียวกันแล้ว เขาเป็นเพียงนักยุทธ์เล็ก ๆ ที่ตกอยู่ในความอันตรายทั้งวันทั้งคืน ส่วนนางนั้นมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด
จนกระทั่งต่อมาเมื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดออก นางได้พบเจอหลัวซิวอีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นคือหลังจากทราบว่าหลัวซิวอยู่ในแดนที่นางทำได้เพียงแหงนมอง นางก็รู้สึกเสียใจทีหลังแล้ว นางถึงจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าตอนนั้นตนเองได้ตัดสินใจผิดพลาดมากเพียงใด ขณะเดียวกันก็เข้าใจเช่นกันว่าหลัวซิวกลายเป็นปมในใจนางไปแล้ว…..