ปัจจุบัน สตรีที่อยู่ข้างกายเขาล้วนเป็นผู้ที่งดงามจนเมืองล่ม เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ปัญญามากล้น โดยเฉพาะเมื่อทราบว่าจีเสี่ยวจื่ออยู่ในแดนมกุฎเทพแล้ว ลู่เมิ่งเหยาก็นิ่งเงียบไปโดยสิ้นเชิงเลย ระหว่างนางและพวกนางเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหมือนเปรียบเทียบหงส์เทพที่โบยบินอยู่บนสวรรค์ทั้งเก้า กับนกกระจอกเล็ก ๆ ที่ร้องเจี๊ยก ๆ
สมาคมเฟยหยาง เป็นสมาคมอันดับหนึ่งในโลกะอิมเอี๊ยง เล่ากันว่าระหว่างสมาคมเฟยหยางและสำนักอิมเอี๊ยงก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเช่นกัน
สำนักงานใหญ่ของสมาคมเฟยหยางไม่ได้อยู่ในเมืองอิมเอี๊ยงแต่อย่างใด แต่อยู่ในเมืองเฟยหยางที่อยู่ห่างจากเมืองอิมเอี๊ยงหลายล้านไมล์
ชื่อเมืองเฟยหยางนั้นถูกตั้งขึ้นตามชื่อสมาคม เนื่องจากคูเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยสมาคมเฟยหยาง กิจกรรมทุกอย่างภายในเมืองก็ล้วนเป็นของสมาคมเฟยหยางเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นกองกำลังที่มีคุณสมบัติเป็นสมาคม เมืองเฟยหยางจึงเจริญรุ่งเรืองอย่างผิดปกติ มักจะมีสมบัติล้ำค่าจำนวนมากปรากฏที่นี่ และยังมีการจัดงานประมูลขนาดใหญ่รูปแบบใหม่อยู่เป็นประจำ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์จำนวนมากในโลกหล้า
สำหรับหลัวซิวแล้ว ระยะห่างหลายล้านไมล์ไม่ถือว่าไกล เขาเรียกเรือรบทองคำออกมาโดยตรง ก่อนจะควบคุมเรือรบระดับจ้าวมหาเทพลำนี้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ไปถึงกลางนภาเมืองเฟยหยางเป็นที่เรียบร้อย
“นั่นคืออะไรน่ะ?”
นักยุทธ์ที่ไปมาหาสู่ในเมืองมีเยอะมาก ๆ เมื่อเรือรบทองคำปรากฏกลางนภาคูเมืองแห่งนี้ แสงสีทองที่แวววาวจับตานั่น ราวกับพระอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่บนฟ้า ดึงดูดความสนใจของทุกคนไป
“นี่มันพื้นที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมเฟยหยางเชียวนะ มีค่ายกลปริภูมิห้ามจัดวางอยู่ นั่นคือเรือรบอะไร ถึงขั้นสามารถลอยอยู่บนเมืองเฟยหยางได้อย่างนั้นหรือ?”
“ปกติมาตรแม้นว่าบรรพอาจารย์มกุฏเทพเดินทางผ่านบริเวณนี้ ก็จะไม่บินผ่านนภาเมืองเฟยหยาง เพราะถือเป็นการยั่วยุสมาคมเฟยหยาง”
นักยุทธ์ในเมืองต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนคนในสมาคมเฟยหยางก็ตอบโต้อย่างรวดเร็วเช่นกัน มีนักยุทธ์กลุ่มหนึ่งบินออกไปจากสำนักงานใหญ่ นักยุทธ์เหล่านั้นล้วนสวมเกราะยุทธ์ มือถือหอกยุทธ์ คือทหารองครักษ์ที่สมาคมเฟยหยางบ่มเพาะ
“ผู้มาเยือนคือผู้ใด? หากต้องการเข้าเมือง โปรดลงจากเรือ!”
ผู้นำทหารองครักษ์ ร่างกายกำยำ สูงดั่งหอคอยเหล็ก น้ำเสียงดังก้องกังวานดุจเสียงฟ้าร้อง ดังก้องไปทั่วทั้งชั้นเมฆ
บนชั้นดาดฟ้าของเรือรบทองคำที่เปล่งประกายระยิบระยับ หลัวซิวใช้มือข้างหนึ่งไขว้ไว้ด้านหลังพลางพูดอย่างเรียบนิ่ง: “ให้หัวหน้าแก๊งของสมาคมเฟยหยางพวกเจ้ามาพบข้า”
หัวหน้าองครักษ์ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เรือรบทองคำที่ลอยอยู่กลางนภานี้ไม่ธรรมดามาก ๆ ดังนั้นเขาถึงไม่ได้ลงมือโจมตีโดยตรง มิเช่นนั้นการที่ฝ่ายตรงข้ามยั่วยุสมาคมเฟยหยางเช่นนี้ เขาจะมีทางพูดคุยกับฝ่ายตรงข้ามดี ๆ ได้อย่างไรเล่า?
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าคือผู้ใด ข้าน้อยก็ต้องกลับไปรายงานเช่นกัน”หัวหน้าองครักษ์พูดอย่างเกรงใจคำหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นการลองถามตัวตนและความเป็นมาของฝ่ายตรงข้าม
หัวหน้าแก๊งสมาคมเฟยหยาง นั่นคือบุคคลที่มีตัวตนอย่างไร? ทันทีที่มาถึงคนดังกล่าวก็จะขอพบหัวหน้าแก๊ง หากไม่ทราบตัวตนและความเป็นมาที่แน่นอน แล้วจะมีสิทธิ์พบหัวหน้าแก๊งได้อย่างไรเล่า?
“พูดมากชิบหาย! ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ให้สำนักหนานเหมินออกมา!”
หัวหน้าองครักษ์คนนั้นระงับอารมณ์เอาไว้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าฝั่งหลัวซิวจะมีความอดทน เขาตะคอกอย่างเยือกเย็นคำหนึ่ง เสียงสะท้อนไปทั่วทั้งเมืองเฟยหยาง
และสำนักหนานเหมินก็คือหัวหน้าแก๊งของสมาคมเฟยหยาง บุคคลที่มีบทบาทระดับนี้ แค่สืบเสาะในโลกะอิมเอี๊ยงเพียงเล็กน้อยก็ทราบได้แล้ว
“ดูท่าใต้เท้าจะมาด้วยความประสงค์ร้าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จักไม่เกรงใจเช่นกัน!”
สีหน้าของหัวหน้าองครักษ์หม่นหมอง การกระทำเช่นนี้ของฝ่ายตรงข้าม เป็นการไม่ให้เกียรติสมาคมเฟยหยางโดยสิ้นเชิง ในโลกใบนี้ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพก็ไม่มีสิทธิ์และความกล้าเช่นนี้ เขาคิดว่าตัวเองคือผู้ใด?
“กองทัพเซียนเหล็กเฟยหยางโปรดฟังคำสั่ง กำราบมันซะ!”
หัวหน้าองครักษ์ตะคอกเสียงดังลั่น เขาคือผู้บัญชาการของเซียนเหล็กเฟยหยาง ส่วนเซียนเหล็กเฟยหยางนั้นคือกองทัพนักยุทธ์ที่สมาคมเฟยหยางบ่มเพาะ ซึ่งเลียนแบบกองทัพในอาณาจักรชาวบ้านธรรมดา