อสูรดูดจิตที่เกาะอยู่บนไหล่หลัวซิวแหงนหน้าขึ้นฟ้า ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามโคจรวรยุทธ์เพื่อต้านทานลูกแก้วความเป็นตายอย่างสุดชีวิตอยู่นั้น มกุฎเทพทั้งสามก็ถูกมันกลืนกินในทีเดียว
ปัจจุบันอสูรดูดจิตที่ติดตามอยู่ข้างกายหลัวซิว กลืนกินช่องจิตระดับมกุฎเทพไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว แม้ยังห่างจากการบรรลุสู่แดนมกุฎเทพอีกระยะหนึ่ง แต่ทว่าก็มีศักยภาพในการกลืนกินมกุฎเทพขั้นปฐมภูมิแล้ว
ในห้วงดาราของยุคสมัยอันไกลโพ้น อสูรดูดจิตเป็นอสูรโบราณที่ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งเชียวนะ การที่อสูรดูดจิตระดับราชาเทพกลืนกินมกุฎเทพนั้น จึงเป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ
ตู้มม!
พลังออร่าที่แข็งแกร่งปะทุออกมาจากตัวสำนักหนานเหมิน อาศัยผลการฝึกตนมกุฎเทพขั้น 6 เขาหลุดพ้นจากการพันธนาการของกฎปริภูมิและเวลาได้ภายในพริบตา
ประสิทธิผลของการโคจรกฎปริภูมิและเวลาพร้อมกัน สามารถเทียบทัดกฎขั้น 6 ช่วงปลาย แม้จะสามารถพันธนาการสำนักหนานเหมินเอาไว้ ทว่ากลับยังไม่ถึงขั้นที่สามารถกดอัดเขาได้
ในขณะที่หลุดพ้นจากกฎ สำนักหนานเหมินก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือหลัวซิวเช่นกัน ตรงหว่างคิ้วมีแสงเรืองกระพริบระยิบระยับ จากนั้นก็มีดาบเทพเล่มหนึ่งฟาดฟันออกมา
“ดื้อดึงยิ่งนัก……”
สีหน้าของหลัวซิวไร้อารมณ์ ดีดนิ้วชี้ทีหนึ่ง เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ดาบยุทธ์มกุฎเทพระดับชั้นกลางถูกนิ้วชี้ของเขาดีดจนกระเด็นออกไป ดาบยุทธ์สั่นเทิ้มจนเสียงดังหึ่ง ๆ ก่อนจะแตกร้าว
ถัดจากนั้นหลัวซิวก็กางนิ้วมือทั้งห้าออก ใช้หนึ่งฝ่ามือกดอัดครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่มาก ยันต์ค่ายผนึกร่วมกันตรงกลางฝ่ามือ วิวัฒนาการค่ายยากเย็นและค่ายสังหารออกมา
ค่ายยากเย็นที่ผันมาจากกฎชีวิตแข็งแรงยากที่จะทลาย พลานุภาพของค่ายสังหารที่ผันมาจากกฎความตายและกฎปริภูมิยิ่งไร้ขีดจำกัด
ภายในเวลาเพียงครู่เดียว ร่างกายของสำนักหนานเหมินก็เปี่ยมล้นไปด้วยบาดแผล เนื้อหนังทั้งร่างกายเละเทะเลือนราง ใกล้จะหมดลมหายใจ
นี่หลัวซิวยังไม่มีความคิดที่จะฆ่าเขา มิเช่นนั้นจากศักยภาพในปัจจุบันของหลัวซิว แค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น การสังหารมกุฎเทพขั้น 6 ในโลกามนุษย์นั้นทำได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลย
“เจ้าคือผู้ใดกันแน่?!”สำนักหนานเหมินเอ่ยปากพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เขาหกระเหินเดินฟ้าเดินไปตรงหน้าสำนักหนานเหมิน ง้างมือแล้วฟาดฝ่ามือลงไป กดฝ่ามือลงกลางกะโหลกสำนักหนานเหมิน
เวิ่ง!
มีแสงเรืองกระพริบระยิบระยับตรงฝ่ามือเขา ตัวสำนึกที่มากมายมหาศาลปะทุออกมาจากดาราหยั่งรู้ ซัดกระหน่ำเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของสำนักหนานเหมิน
โคจรเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณสุดกำลังสามารถ ตรงหว่างคิ้วของหลัวซิวแยกออก ก่อนจะมีมนุษย์จิ๋วที่มีแสงเปล่งประกายระยิบระยับเดินออกมา กลายเป็นรุ้งยาวภายในพริบตา และหายเข้าไปตรงกลางหว่างคิ้วของสำนักหนานเหมิน
ณ วินาทีนี้ ภายในตัวหยั่งรู้ของสำนักหนานเหมิน ตัวสำนึกของทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ถึงแม้ผลการฝึกตนของหลัวซิวไม่สูง ทว่าเนื่องจากฝึกเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ ตัวสำนึกของเขาจึงแข็งแกร่งอย่างมาก ซึ่งเทียบเท่ามกุฏเทพช่วงปลาย
เดิมทีสำนักหนานเหมินก็บาดเจ็บสาหัสแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับตัวสำนึกที่มากมายมหาศาลของหลัวซิว เขาจึงทำได้เพียงถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ยับเยินอย่างต่อเนื่อง
“หยุดเดี๋ยวนี้! ข้าจักพาเจ้าไปหลุมดำเอกภพ!”
เมื่อเห็นว่าตัวหยั่งรู้ของตัวเองใกล้จะถูกยึดครอง จึงมีเสียงอุทานอย่างตะลึงของสำนักหนานเหมินดังออกมาจากช่องจิต
“สายไปแล้ว!”
หลัวซิวเย็นชาไร้ความปราณี เขาใช้รูปมนุษย์ญาณเทวที่ผนึกรวมมาจากวิญญาณดั้งเดิมปล่อยพลังตราประทับออกไป ปล่อยแสงคุมขังเข้าไปภายในช่องจิตของสำนักหนานเหมินอย่างต่อเนื่อง
คนที่อยู่โลกภายนอกมองไม่เห็นการปะทะของตัวสำนึก ผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น หลัวซิวก็ชักมือกลับมาจากกลางกะโหลกของสำนักหนานเหมิน
และในเวลานี้เอง ก็มีความงุนงงเล็กน้อยปรากฏขึ้นมาในดวงตาสำนักหนานเหมิน
“นายท่าน!”เขาคุกเข่าต่อหน้าหลัวซิวด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล
ในเมื่อครู่นี้ หลัวซิวใช้เคล็ดวิชาวิญญาณกลั่นแปรสำนักหนานเหมิน ทำการควบคุมเขา ให้เขากลายเป็นทาสรับใช้ของตน
แค่ใช้จิตนึกคิด หลัวซิวก็สามารถชี้ขาดความเป็นความตายของเขา!
แน่นอนอยู่แล้วว่าจะใช้เคล็ดวิชาประเภทนี้ต่อผู้ที่อ่อนแอกว่าตนเท่านั้น หากแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย หรือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตน ไม่เพียงใช้วิชาดังกล่าวไม่สำเร็จ ในทางตรงกันข้ามตนก็จะถูกวิชาดังกล่าวแว้งทำร้ายด้วย