มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2042
คำพูดดังกล่าวของหลัวซิวทำเอาใบหน้าฉีผิงสวี่เขียวช้ำไปหมดแล้วจริง ๆ ก่อนที่เขาจะตอบกลับด้วยแววตาที่หม่นหมอง: “กระจอกงอกง่อย? โม้เก่งเช่นนี้เจ้าไม่กลัวลมพัดลิ้นจนเป็นตะคริวหรือ! คุณชายอย่างข้านั้นคือศิษย์ในสำนักไท่ฉือ ท่านปู่ของคุณชายอย่างข้าคือผู้อาวุโสของสำนักไท่ฉือ ท่านพี่ยิ่งเป็นเทพธิดาของสำนักไท่ฉือ!”
เมื่อพูดถึงฐานะตัวตนและความเป็นมาของตัวเอง ฉีผิงสวี่ดูได้ใจอย่างมาก แท้จริงแล้วจากพรสวรรค์ของเขา ก็เป็นได้เพียงศิษย์อันดับสุดท้ายของสำนักไท่ฉือเท่านั้นแหละ แต่ทว่าเขากลับมีที่พึ่งพิงยิ่งใหญ่ที่ศิษย์คนอื่น ๆ ในสำนักไท่ฉือไม่มี
หลัวซิวรู้สึกดูหมิ่นดูแคลนต่อสภาพที่ได้อกได้ใจของฉีผิงสวี่ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา: “สำนักไท่ฉือก็เป็นเพียงที่เท่าแมวดิ้นได้ สถานที่เล็ก ๆ เช่นนั้น ข้ายังไม่เคยนำมาไว้ในสายตา”
ลักษณะท่าทางการเหยียดหยามเช่นนี้ของหลัวซิว ทำให้ฉีผิงสวี่ที่กำลังรู้สึกได้ใจถูกปั่นจนใบหน้าแดงเถือกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหมือนตับหมูยังไงอย่างนั้น
“คุณชาย เหตุใดจึงต้องถือสาไอ้คนที่ไม่รู้จักความเป็นความตายเช่นนี้ด้วย ให้พวกข้าลงมือสังหารมันเถิดขอรับ จากนั้นค่อยนำสาวน้อยทั้งสามนั่นถวายให้คุณชาย!”
ปะทะฝีปากไม่ไหว ผู้ติดตามสามคนที่อยู่ด้านหลังฉีผิงสวี่จึงก้าวเท้าออกมา ลักษณะท่าทางของแต่ละคนดูโหดร้าย ท่าทางดุดันกระฟัดกระเฟียด
ไม่ว่าอย่างไรสำนักไท่ฉือก็เป็นกองกำลังใหญ่ระดับมกุฎเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกะอัมพรเทวอยู่ เป็นหนึ่งในสามสำนักที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับสำนักกระบี่ฟ้ามกุฎและวังกว่างหาน
ถึงแม้ทั้งสามคนนี้จะเป็นผู้ติดตามของฉีผิงสวี่ ทว่าผลการฝึกตนกลับแข็งแกร่งกว่าฉีผิงสวี่มาก ๆ ต่างมีผลการฝึกตนราชาเทพช่วงกลาง ส่วนฉีผิงสวี่นั้นเป็นเพียงราชาเทพขั้นปฐมภูมิ
ในส่วนของเรื่องที่ว่าเหตุใดพวกเขาถึงติดตามฉีผิงสวี่นั้น ก็ต้องเป็นเพราะมองเห็นความสำคัญของภูมิหลังอันแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลังเขาอยู่แล้ว ทั้งนี้จะได้เสาะหาผลประโยชน์ได้มากขึ้น
สำหรับทั้งสามคนที่พุ่งตรงเข้ามา หลัวซิวเบื่อที่จะชายตาลงไปมองพวกเขาด้วยซ้ำ อสูรดูดจิตที่เหยียบอยู่ใต้เท้าเชิดศีรษะขึ้นมา อ้าปากกว้างแล้วกัดฉีกอนัตตาแผ่นหนึ่งลงมาโดยตรง
อนัตตาถูกกัดฉีกลงมาเป็นวงกว้าง ทำให้มีตรีภพซัดสาดออกมาจากพื้นที่ที่พังทลาย ทั้งสามคนนั้นยิ่งตายอย่างสิ้นซาก
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ฉีผิงสวี่ก็ตกใจมากจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง บัดนี้เขาถึงจะเข้าใจว่าตัวเองได้เตะเข้ากับแผ่นเหล็กแล้ว สัตว์ที่ใช้ขี่ของคนดังกล่าวน่าสยดสยองเช่นนี้ อย่างน้อยก็อยู่ระดับกึ่งมกุฎเทพ
ด้วยเหตุนี้ปฏิกิริยาแรกของฉีผิงสวี่ก็คือหลบหนี แต่ทว่าเขาเพิ่งก้าวเท้าออกไปได้เพียงก้าวเดียว ปริภูมิรอบ ๆ ก็ถูกผนึกไว้ ขยับไปที่ใดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“เจ้า……เจ้าฆ่าข้าไม่ได้นะ เจ้าอย่าลืมว่าท่านพี่ข้าคือเทพธิดาของสำนักไท่ฉือเชียวนะ ท่านพี่ข้าเป็นผู้ต้องตาดาวเคราะห์ดวงนี้ของตระกูลเทพสงคราม หากเจ้ากล้าแตะต้องตัวข้า ท่านพี่ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้แน่นอน!”
ภายใต้สถานการณ์ที่ตื่นตกใจ ฉีผิงสวี่ทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่ภูมิหลังที่อยู่เบื้องหลังตนเอง หวังว่าจะสามารถข่มฝ่ายตรงข้ามได้ และรักษาชีวิตอันน้อยนิดนี้ของตัวเองเอาไว้
“เสียงดังชิบหาย!”หลัวซิวทำเสียงหึอย่างรู้สึกรำคาญ จากนั้นก็มีมือใหญ่ไร้รูปข้างหนึ่งตบลงมา กระแทกลงบนใบหน้าฉีผิงสวี่อย่างจัง
“เหตุใดพี่เจ้าถึงต้องการดาวเคราะห์ดวงนี้ของตระกูลเทพสงคราม?”หลัวซิวถามอย่างเย็นเยือก เขารู้สึกว่าเหมือนเรื่องจะนี้ทำไม่ได้ดูเรียบง่ายขนาดนั้น
ตำแหน่งของสำนักไท่ฉือที่อยู่ในโลกะอัมพรเทวถือว่าตั้งตระหง่านอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว ในฐานะที่เป็นเทพธิดาของสำนักไท่ฉือ พอจะพูดได้เลยว่าสามารถได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ แต่เหตุใดนางถึงดันต้องตาดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ในแถบที่ไกลโพ้นเช่นนี้?
“ท่านพี่ข้าได้ค้นหาและอ่านในหนังสือโบราณ เล่ากันว่าบรรพบุรุษของตระกูลเทพสงครามได้ทิ้งของล้ำค่าไว้หนึ่งชิ้น ดังนั้นท่านพี่ข้าถึงได้ให้ข้ามาขับไล่ตระกูลเทพสงครามออกไป เช่นนี้ถึงจะสามารถตามหาที่ตั้งของสมบัติชิ้นนั้นได้สะดวกมากยิ่งขึ้น”ฉีผิงสวี่รีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ของล้ำค่า?”หลัวซิวมองไปทางซิงเฉินรอบหนึ่ง
“หากตระกูลเทพสงครามของข้ามีของล้ำค่าจริง ๆ แล้วจะตกอยู่ในสถานการณ์อย่างทุกวันนี้ได้อย่างไรเล่า?”ซิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่นพลางตอบกลับ เห็นชัดเจนเลยว่าเป็นการปฏิเสธเรื่องของล้ำค่าในตระกูลเทพสงครามของพวกเขา