มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2047
ในโลกยุคปัจจุบัน จิตใจมนุษย์อันตรายน่ากลัว ตั้งแต่ผ่านพ้นภัยพิบัติเมื่อครั้นนั้นเป็นต้นมา ซิงเฉินก็ไม่เคยเชื่อใจผู้ใดง่าย ๆ อีกเลย
ทั้งธาตุดาราอัมพรเทว จำนวนดาวเคราะห์ที่มีชีวิตนั้นมีเยอะมากถึงมากที่สุด บนดาวเคราะห์ทุกดวงล้วนมีกองกำลังทั้งเล็กและใหญ่คอยปักหลักปักฐาน
ดาวเคราะห์ดวงที่ตระกูลเทพสงครามอยู่นั้น เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่มีโดดเด่นอะไรในธาตุดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ซึ่งเหมือนดั่งดาวเคราะห์มีชีวิตอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของสามสำนักหกตระกูล
เมื่อมาถึงแถบชายแดนธาตุดาราด้วยตัวตนของเทพธิดาสำนักไท่ฉือ ก็ต้องได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่อลังการจากกองกำลังทั้งหลายเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว บรรพอาจารย์ของแต่ละสำนัก และผู้นำตระกูลต่าง ๆ ต่างพากันปรากฏตัว ล้วนแสดงจิตใจที่จงรักภักดีออกมา ยินดีที่จะให้เทพธิดากดหัวเรียกใช้
อย่างไรซะกองกำลังเหล่านี้ล้วนอยากประจบและตีสนิทเทพธิดา เมื่อได้ยินว่าเทพธิดาแห่งสำนักไท่ฉือจะมุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์ที่ตระกูลเทพสงครามอยู่ จึงมีคนใหญ่คนโตไม่น้อยต่างร่วมออกเดินทางมาพร้อมกับนาง
ราชรถคันหนึ่งที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยบินมาจากขอบฟ้า ด้านหน้ามีองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่สวมเกราะเทพบนตัว มือถือหอกยุทธ์คอยเดินนำอยู่ข้างหน้า ราชรถที่หรูหราอลังการนั่นยิ่งถูกลากด้วยมังกรเขียวสามตัว ท่าทีพูดได้เลยว่าไม่เล็กเลย
มีราชรถคันนี้เป็นศูนย์กลาง เหล่าคนใหญ่คนโตจากสำนักและตระกูลต่าง ๆ ก็ต่างโบยบินโดยการควบคุมของขลัง หรือขี่อสูรพิลึกล้ำค่าบินตามมาจากข้างหลังเช่นกัน คลื่นมหาชนดูเกรียงไกรยิ่งใหญ่
คนกลุ่มนี้เหมือนดั่งฝูงคนที่เก่งกาจสามารถ ผ่านไปไม่นานนักก็เข้าสู่ดาวเคราะห์ มาถึงนภาเหนือเมืองเทพสงคราม
ใบหน้าของซิงเฉินเปี่ยมล้นไปด้วยความโศกเศร้า เขาทราบอยู่ว่าท้ายที่สุดวันนี้ก็จะมาถึงอยู่ดี
เห็นเพียงเขาฝืนใจพาเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลออกไปจากเมือง เดินหน้าเข้าไปต้อนรับ ก้มคำนับอย่างเคารพและรอบคอบแล้วพูด: “หัวหน้าตระกูลเทพสงคราม ซิงเฉิน พร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล มาน้อมต้อนรับท่านเทพธิดาขอรับ!”
ผ้าม่านของราชรถถูกเปิดออก มีชายหนุ่มคนหนึ่งยื่นศีรษะออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดันพร้อมกับใบหน้าที่ดุร้าย “อย่าพูดให้มากความ ส่งเด็กเดรัจฉานและสตรีพวกนั้นออกมา!”
ความอัปยศอดสูในครั้งนั้น เป็นสิ่งที่ฉีผิงสวี่ไม่มีวันลืม ในฐานะที่เป็นศิษย์ในสำนักไท่ฉือ เขาเคยอัปยศอดสูเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ปัจจุบันมีท่านพี่เขา เทพธิดาแห่งสำนักไท่ฉือเป็นที่พึ่ง เขาจึงแข็งแกร่งขึ้นมาทันที
และในเวลานี้เอง ศีรษะของอสูรยักษ์ที่ดุร้ายน่ากลัวก็ยื่นออกมาจากเมืองเทพสงคราม หลัวซิวกำลังยืนอยู่บนศีรษะอสูรยักษ์พลางเอามือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “เจ้าตามหาข้าหรือ?”
เสี้ยววินาทีที่เห็นหน้าหลัวซิว สีหน้าของฉีผิงสวี่ก็ขาวซีดลงไปในทันที อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ความน่ากลัวและดุดันของคนดังกล่าวและสัตว์ที่ใช้ขี่ของเขา ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าบนราชรถยังมีท่านพี่ตนอยู่ เขาจึงหัวเราะอย่างเยือกเย็นออกมาทันที
เห็นเพียงเขาเปิดผ้าม่านของราชรถออก แล้วพูดกับคนที่อยู่ด้านในว่า: “ท่านพี่ เจ้าหมอนี่นี่แหละ มันหยิ่งยโสโอหังมาก ไม่เอาท่านพี่ไปไว้ในสายตา และไม่เอาสำนักไท่ฉือของเราไปไว้ที่สายตาเช่นกัน”
เมื่อฉีผิงสวี่พูดเช่นนี้ สายตาของเจ้าสำนักและหัวหน้าเผ่าจำนวนมากจึงร่วงลงบนตัวหลัวซิวอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มคนนี้โผล่หัวมาจากที่ใดอีก ถึงกับกล้าเป็นศัตรูกับสำนักไท่ฉืออย่างนั้นหรือ?
ในจำนวนคนทั้งหมด ไม่ขาดแคลนผู้ที่รู้สึกหวั่นไหว สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นโอกาสดีในการประจบเทพธิดาไท่ฉือเชียวนะ
“เดรัจฉานจากที่ใด ถึงกับกล้าเหยียดหยามอำนาจบารมีของสำนักไท่ฉืออย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างนั้นหรือ?”
นายท่านตระกูลยุทธ์ตระกูลหนึ่งก้าวเท้าออกมา ก่อนจะทำท่าคารวะไปทางราชรถแล้วพูด: “มู่หงเป่ายินดีที่จะรับภารกิจกำราบคนดังกล่าว เพื่อให้เทพธิดาลงโทษตามใจชอบขอรับ!”
ไม่มีเสียงตอบรับจากราชรถแต่อย่างใด ราวกับเทพธิดาไท่ฉือที่อยู่ภายในไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลยด้วยซ้ำ
ทว่าสำหรับเหล่าคนฉลาดที่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว ความเงียบคือคำตอบอย่างหนึ่ง
“ผู้น้อยไร้เดียงสา ยังไม่รีบไสหัวออกมาคุกเข่ารับโทษอีกหรือ? หากข้าลงมือละก็ เจ้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว!”มู่หงเป่าหกระเหินเดินฟ้า ออร่ารอบกายน่าเกรงขาม เขาคือยอดฝีมือราชาเทพช่วงปลายคนหนึ่ง