มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2049
“ในเมื่อคุณชายมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ อย่างนั้นเมี่ยวหลุนก็ขอคำแนะนำจากพลังอมตะของคุณชายหน่อยแล้วกัน”
เทพธิดาไท่ฉือลงมือโจมตีด้วยอารมณ์ที่โกรธเคือง เนื่องจากหากยังไม่ลงมืออีกละก็ ภาพลักษณ์หน้าตาของสำนักไท่ฉือก็จะถูกทำลายไปหมดแล้ว ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องลงมือเพื่อรักษาอำนาจบารมีของสำนักไท่ฉือ!
ทันทีที่ลงมือ เทพธิดาไท่ฉือนี่ก็แสดงพลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมาเลย วิวัฒนาการภูเขาที่เก่าแก่และกว้างใหญ่ออกมาหนึ่งลูก ภูเขาดังกล่าวสูงเสียดฟ้า สูงตระหง่านกว้างโอ่อ่า ราวกับสามารถกดอัดเก้าสวรรค์สิบปฐพี
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวสุขุม ยกมือขึ้นมาใช้นิ้วจิ้มลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า เส้นทางช้างเผือกจึงปรากฏในทันที ภายในทางช้างเผือกราวกับมีดวงดาวนับแสนล้านดวงลอยขึ้น ๆ ลง ๆ ยิ่งใหญ่อลังการ ฉีดชำระทำลายล้างสรรพสิ่ง
โครมคราม……
ทางช้างเผือกและภูเขาที่สูงใหญ่พุ่งชนเข้าด้วยกัน เห็นเพียงภูเขาที่ส่วนใหญ่ลูกนั้นจมหายไปในทางช้างเผือกภายในพริบตา ทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่มโหฬารพันลึกได้วิวัฒนาการห้วงดาราออกมา ทำการแผ่คลุมเทพธิดาไท่ฉือรวมไปถึงทุกคนที่นางพามา
ในประวัติศาสตร์ของมหาโลกาพันสามในจักรวาล เคยมีมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่ง มีนามว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์แสงดาวซึ่งเป็นผู้บุกเบิกมหาโลกะแสงดาว
และพลังอมตะที่หลัวซิววิวัฒนาการออกมาโดยหมื่นจักรวาลไร้รูป ก็มีความเร้นลับของเคล็ดเซียนแสงดาวแฝงซ่อนอยู่เช่นกัน
จากแดนยุทธ์ ณ ปัจจุบันของหลัวซิว กระบวนท่าที่เขาปลดปล่อยออกมาได้ในทันทีนั้น ก็คือพลังอมตะจักรพรรดิเทพระดับหนึ่งแล้ว และปัญญาของเทพธิดาไท่ฉือนั่นโดดเด่นก็จริง แต่พลังอมตะที่นางปลดปล่อยออกมากลับเป็นเพียงระดับมกุฎเทพเท่านั้น ทั้งสองไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลยด้วยซ้ำ
ทางช้างเผือกผนึกฟ้า ดวงดาวนับแสนล้านดวงประกอบเป็นค่าย จิตสังหารที่ไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกไป วินาทีนี้หลัวซิวแค่ใช้จิตนึกคิด ก็สามารถสังหารเทพธิดาไท่ฉือและคนอื่น ๆ ให้ตายอยู่ในนี้ได้แล้ว
ภายในเวลาชั่วขณะ เหล่าเจ้าสำนักและหัวหน้าเผ่าที่ติดตามเทพธิดาไท่ฉือมาต่างรู้สึกหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างสั่นเทา ณ ตอนนี้วินาทีนี้ พวกเขาถึงจะทราบว่าชายหนุ่มที่กําเริบเสิบสานนั่น เป็นผู้แข็งแกร่งที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่ได้ลงมือสังหารคนเหล่านี้ ในทางตรงกันข้ามกลับยกมือขึ้นมาถอนสรพพแสงดาวออก
สีหน้าของเทพธิดาไท่ฉือขาวซีด น้องชายฉีผิงสวี่ที่อยู่ข้างกายนางยิ่งตกใจมากจนใบหน้าไร้เลือด เสี้ยววินาทีในเมื่อครู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเขา ต่างสัมผัสได้อย่างแท้จริงเลยว่าตนได้เข้าใกล้ความตายมากเพียงใด
“บัดนี้พวกเจ้ายังอยากคิดจะทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายต่อตระกูลเทพสงครามอีกหรือไม่?”เสียงอันสุขุมเรียบนิ่งของหลัวซิวค่อย ๆ สะท้อนมา
สาเหตุที่ไม่ได้ลงมือสังหารคนเหล่านี้นั้น เป็นเพราะจากแดนยุทธ์และศักยภาพ ณ ปัจจุบันของหลัวซิว เขาไม่ได้นำพวกเทพธิดาไท่ฉือมาไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
แม้เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู เขาจะฆ่าอย่างเด็ดเดี่ยว โหดเหี้ยมไร้ความปราณี ทว่าตัวเขาเองกลับไม่ใช่ผู้ที่ชอบฆ่าผู้อื่นจนติดเป็นนิสัย ลงมือตักเตือนครั้งหนึ่ง หากคนเหล่านี้รู้จักยับยั้งชั่งใจก็แล้วไป
“เมี่ยวหลุนเสียมารยาทเองเจ้าค่ะ หากมีจุดใดที่รบกวนคุณชาย ก็ได้โปรดให้อภัยด้วย”
ฉีเมี่ยวหลุนสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วก้มคำนับไปทางหลัวซิวอย่างอ่อนโยน นางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าในจำนวนคนทั้งหมดที่นางพามา ไม่มีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้ของชายที่อยู่ตรงหน้านี้เลย
ฝ่ายตรงข้ามบังอาจกําเริบเสิบสานถึงขั้นไม่เอาสำนักไท่ฉือไปไว้ในสายตา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีต้นทุนมีศักยภาพคนหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่าอะไรหรือ? ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากที่ใด?”ฉีเมี่ยวหลุนถามต่อ
“ยัยหนู เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องสืบสอบความเป็นมาของข้าหรอก ทว่าตอบเจ้าก็ไม่เป็นไร คุณชายอย่างข้ามีนามว่าหลัวซิว ในส่วนของได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากที่ใดนั้น มาตรแม้นว่าบอกเจ้า เจ้าก็ไม่รู้หรอก”หลัวซิวปัดมือไปมาพลางตอบกลับ
แค่พลังอมตะหนึ่งที่ปลดปล่อยออกมาอย่างสบายมือ ก็ทำให้กลุ่มคนที่มีเทพธิดาไท่ฉือเป็นผู้นำตะลึงงันมากแล้ว
นี่จึงทำให้ซิงเฉินรวมไปถึงผู้อาวุโสในตระกูลเทพสงคราม ต่างรู้สึกช็อกมากจนพูดอะไรไม่ออก
อย่างไรก็ตาม สภาพจิตใจของซิงเฉินและเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลกลับไม่ผ่อนคลายลงเลย เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าสุดท้ายแล้วเทพธิดาไท่ฉือก็เป็นเพียงผู้น้อยคนหนึ่ง การที่ทำให้นางตื่นตกใจและกลับไปนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งที่น่ากลัวคือสำนักที่อยู่เบื้องหลังนาง สำนักไท่ฉือ!