มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2084
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็ดูตึงเครียดเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อปีนั้นเขาได้มาถึงที่นี่เพราะตำหนักวัฏสงสาร ซึ่งไม่ได้ใส่ใจเหวญาณปีศาจเป็นพิเศษ
ครั้งนี้เมื่อเขาเพ่งมองดูดี ๆ ทำให้เขาสังเกตเห็นจุดที่มีลับลมคมใน
ชี่มรณะของที่นี่เข้มข้นมากเกินไปแล้ว ในความทรงจำของเขา สำหรับสถานที่ที่มีชี่มรณะเข้มนั้น แม้แต่สถานผนึกดารามรณะนอกดาราฟ้าเยือก ยังไม่มีชี่มรณะที่น่ากลัวเช่นนี้เลย
เมื่อนึกถึงสถานผนึกดารามรณะ หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงโลงศพทองสัมฤทธิ์ใบนั้นที่เห็นเมื่อครั้นนั้น ดูเหมือนกับว่าโลงศพใบนั้นจะอยู่ในอีกห้วงเวลาหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนดั่งสนามรบที่น่าสยดสยองแห่งหนึ่งเช่นกัน
หรือว่าทั้งสองสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน?
หลัวซิวนึกถึงความเป็นไปได้นี้โดยธรรมชาติ ยิ่งกว่านั้นคือเขายังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือกลับไปยังดาราฟ้าเยือกอีกครั้ง แล้วเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของสถานผนึกดารามรณะ ไปดูซิว่าภายในโลงศพทองสัมฤทธิ์นั่นมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่
และในเวลานี้เอง จิตใจเขาก็สั่นคลอนขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้ามองไปทางขอบฟ้าที่อยู่ห่างออกไปไกล
โครมคราม……
มีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งแรกที่เข้ามาในม่านตาคือฝูงอสูรหัวมังกรร่างม้าที่ใหญ่โตมโหฬาร อสูรหัวมังกรร่างม้าเหล่านี้มีสายเลือดที่บริสุทธิ์ของมังกรแท้ ทั่วทั้งร่างเป็นสีขาวโพลน และกำลังลากราชรถที่หรูหราฟุ่มเฟือยถึงขีดสุดคันหนึ่ง
ทั้งสองข้างของราชรถคันนี้ มียอดฝีมือวิถียุทธ์นับร้อยคอยคุ้มกันรักษา ซึ่งล้วนถืออาวุธสงครามติดมือ คลุมเกราะเทพอยู่บนตัว อำนาจบารมีน่าเกรงขาม ไอสังหารสูงเทียมฟ้า
บนราชรถยังมีกระโจมรถที่นั่งสีทองหนึ่งที่ กระโจมรถกว้างใหญ่ ราวกับผู้ที่นั่งอยู่บนราชรถคือเทพผู้สูงส่งที่แม้แต่พลทหารแห่งสวรรค์ยังต้องหลีกทางให้ มีเกียรติสูงสุดจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
เพียงชั่วขณะเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามก็มาถึงละแวกเหวญาณปีศาจเช่นกัน มีชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสีทองนั่งอยู่บนราชรถ เขากำลังเขม็งมองมาทางหลัวซิวด้วยสายตาที่เย็นชา
ในองครักษ์นับร้อย มีคนหนึ่งกำลังโบกธงผืนใหญ่ไปมา ซึ่งบนธงมีคำว่า‘จ้าว’ที่ดูมีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงมีพลังเขียนอยู่
ตระกูลจ้าว!
ชายหนุ่มชุดทองนั่นต้องมาจากตระกูลจ้าวอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน ตระกูลจ้าวนั้นคือหัวหน้าของทั้งหกตระกูล เล่ากันว่าบรรพบุรุษของตระกูลจ้าวเป็นผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพผู้บุกเบิกโลกะดาราอัมพรเทว
“เจ้าคือผู้ที่สำนักจักรพรรดิแห่งโลกาชั้นฟ้าออกหมายจับกุมตัวหรือ?”
ชายหนุ่มชุดทองนั่งอยู่บนราชรถ ใช้แววตาเย็นชาถึงขีดสุดมองมาทางพวกหลัวซิว
จีเสี่ยวจื่อขยับไปกระซิบข้างหูหลัวซิว: “ท่านพี่ เจ้าหมอนั่นมีนามว่าจ้าวเทียนซิ่น เล่ากันว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งที่ตระกูลจ้าวบ่มเพาะอย่างลับ ๆ”
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ จีเสี่ยวจื่อหนีไปเที่ยวเล่นทุกแห่งทุกหนอยู่เป็นประจำ และสืบเสาะข่าวคราวมาได้ไม่น้อยเช่นกัน เหมือนนักยุทธ์ที่เกิดแล้วโตในดาราอัมพรเทวยังไงอย่างนั้น
เหล่าตระกูลที่มีการถ่ายทอดสืบสานแข็งแกร่งล้วนจะบ่มเพาะผู้สืบทอดของตน แต่เนื่องจากความขัดแย้งภายในกองกำลังทั้งหลาย ทำให้บางครั้งฝ่ายตรงข้ามก็จะหาโอกาสกำจัดวัยรุ่นอัจฉริยะของกองกำลังอื่น ๆ ดังนั้นอัจฉริยะของกองกำลังส่วนมากที่มองเห็นภายนอกนั้น แท้จริงแล้วคนเหล่านั้นไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแต่อย่างใด โดยทั่วไปแล้วอัจฉริยะสูงสุดล้วนจะถูกบ่มเพาะอย่างเป็นความลับ ไม่ให้ผู้อื่นทราบตัวตนที่แท้จริงของคนคนนั้น
และเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ยิ่งกว่านั้นคือบางกองกำลังไม่ได้บ่มเพาะอัจฉริยะเพียงคนเดียวเท่านั้น อาจจะบ่มเพาะหลายคนหรือมากกว่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วถึงแม้ตัวตนของบางคนจะถูกเปิดเผยแล้วถูกลอบทำร้าย ผู้สืบทอดที่แท้จริงของสำนักหรือตระกูลนั้น ๆ ก็มีโอกาสอยู่รอดต่อไปได้สูงขึ้น กระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนหนึ่ง
บอกว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ แท้จริงแล้วอายุของจ้าวเทียนซิ่นมีมากกว่าหนึ่งหมื่นปีแล้ว แต่ทว่าสำหรับผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพที่มีอายุไขนับล้านปีแล้ว อายุหนึ่งหมื่นปีนั้นถือว่าเป็นผู้น้อยจริง ๆ
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับเบื่อที่จะสนใจฝ่ายตรงข้าม แค่มองด้วยสายตาที่เรียบนิ่งรอบหนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับมา สำรวจลาดเลาในเหวญาณปีศาจต่อ