มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2092
“ยังมีตาแก่ที่ลับ ๆ ล่อ ๆ อีกพวกหนึ่ง ยังไม่มีแผนจะออกมาบัดนี้หรือ? ไม่อย่างนั้นข้าก็จะลงมือด้วยตนเองแล้วนะ”
สายตาของหลัวซิวกวาดมองไปทางตำแหน่งที่ไกลออกไปของอนัตตา คำพูดที่พูดออกมาเปลี่ยนล้นไปด้วยจิตสังหาร
“กลับ!”
“มีเพียงเชิญบรรพอาจารย์ออกมาเท่านั้น ถึงจะสามารถกำราบคนดังกล่าวได้!”
มีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่กำลังหลบซ่อนอยู่จากไปอย่างเงียบ ๆ อำนาจบารมีของหลัวซิวได้ข่มพวกเขาเอาไว้โดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าตนมีความมั่นใจที่จะรับมือกับเขาได้
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ละแวกของเหวญาณปีศาจก็กลับคืนสู่ความสงบ ภายใต้กระแสสัมผัสของหลัวซิว เขาสามารถยืนยันได้ว่าพวกตาแก่ที่หลบซ่อนอยู่ในเมื่อครู่นี้ได้ถอยกลับไปหมดแล้ว
แต่หลัวซิวก็เข้าใจดีมาก ๆ เช่นกันว่าการที่มกุฎเทพจำนวนมากของสามสำนักหกตระกูลไม่สามารถจัดการตัวเองได้ หลังจากกลับไปครั้งนี้ พวกเขาต้องไปปลุกบรรพอาจารย์ที่กำลังนอนหลับใหลอยู่อย่างแน่นอน ถึงครานั้นยังต้องมีศึกการต่อสู้ที่เลวร้ายเกิดขึ้นอีก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อ ก่อนจะย่างเท้ามุ่งหน้าเดินเข้าไปในเหวญาณปีศาจ
หลังจากที่เขาเดินเข้าไปในขอบเขตของเหวญาณปีศาจแล้ว พลังออร่าอันน่าสยดสยองที่เปี่ยมล้นไปด้วยความชั่วร้ายก็ซัดกระหน่ำเข้ามา เขาก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าว แล้วเงาร่างก็หายวับไปจากวิสัยทัศน์ของจีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามอย่างรวดเร็ว
ภยันตรายในเหวญาณปีศาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ให้พวกนางตามเข้าไป และเมื่อสตรีทั้งสามนางเห็นว่าเงาร่างของเขาหายไปแล้ว สีหน้าของแต่ละคนก็ต่างดูกังวล กำลังรอคอยอย่างร้อนใจ
บางทีสิ่งที่จีเสี่ยวจื่อเข้าใจอาจจะมีไม่มาก แต่ในฐานะที่ฉียู่หรงและหนิงหานยู่กำเนิดในดาราอัมพรเทวกลับเข้าใจตำนานเรื่องเล่าของเหวญาณปีศาจดีมาก ๆ เนื่องจากพวกนางมาจากตระกูลฉี และเคยมีบรรพอาจารย์ที่แข็งแกร่งบุกเข้าไปภายในเช่นกัน ทว่าก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
คำว่าปีศาจ เป็นตัวแทนของความชั่ว ความตายและความน่ากลัวมาตั้งแต่โบราณแล้ว
และมีกลุ่มคนบางส่วนที่ขัดกับหลักทำนองคลองธรรมในคัมภีร์ ผู้ที่ทำตามทางของตนโดยไม่สนว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร ถูกเรียกว่ามาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนในมนุษย์โลกกีดกัน
ชื่อเหวญาณปีศาจมีคำว่าปีศาจอยู่ด้วย ที่นี่มีพลังความชั่วร้ายตลบไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้คนที่เข้ามาสามารถสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ
พลังความชั่วหลายประเภทนี้เป็นทำนองเดียวกันกับกฎความตาย เดิมทีหลัวซิวก็มีการตระหนักรู้ในกฎความตายที่ลึกซึ้งมาก ๆ อยู่แล้ว บวกกับตัวธรรมของเขามั่นคงแน่วแน่ ด้วยเหตุนี้เมื่อเดินอยู่บนแผ่นดินใหญ่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความชั่วร้าย เขาก็มาถึงขอบนอกของเหวญาณปีศาจอย่างรวดเร็ว
ยืนอยู่ตรงขอบนอกแล้วก้มมองลงไป เหวปีศาจลึกมากจนมองไม่เห็นก้น เสมือนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งพุ่งชนพื้นโลก แทบจะทะลวงดาราอัมพรเทว
ฮู่วว!
ลมที่เย็นยะเยือกถึงขีดสุดพัดขึ้นมาจากก้นเหวปีศาจ จู่ ๆ ลางเตือนความระมัดระวังก็ผุดขึ้นมาในจิตใจหลัวซิว ตำหนักวัฏสงสารบินออกมาจากหว่างคิ้ว ลอยวนอยู่เหนือศีรษะ
โครมคราม…..
ลมอำมหิตที่ดูไม่มีอะไรพิเศษกระแทกลงบนตัวเขา ทว่ากลับเหมือนมีภูเขาที่สูงตระหง่านลูกหนึ่งพุ่งชนเข้ามา ทำให้ตัวหลัวซิวถูกพัดจนลอยขึ้นภายในพริบตา
ปัง!
หลัวซิวร่วงลงบนพื้นที่ห่างออกไปสิบกว่าไมล์ สีหน้าเขาดูย่ำแย่เล็กน้อย ถึงแม้จะมีตำหนักวัฏสงสารคุ้มกันร่าง ร่างกายเขาก็ถูกกระแทกอย่างรุนแรง ผิวหนังตามร่างกายแตกออก กระดูกแตกสลาย
ถ้าเกิดเขาไม่เรียกตำหนักวัฏสงสารออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญ เกรงว่าเสี้ยววินาทีในเมื่อครู่นี้ เขาคงถูกลมอำมหิตนั่นพัดจนกลายเป็นฝุ่นผง ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูกแล้ว
“ช่างเป็นเหวปีศาจที่น่ากลัวยิ่งนัก สถานที่เช่นนี้ไม่ควรคงอยู่ในโลกามนุษย์ได้เลยด้วยซ้ำ”จิตใจหลัวซิวตึงเครียด ดูจากระดับความน่ากลัวของลมอำมหิตในเมื่อครู่นี้ เกรงว่าก็คงมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพมาเยือน ถึงจะสามารถต้านทานมันไหว
ทว่าเหวปีศาจกลับคงอยู่บนดาราอัมพรเทว ผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพไม่สามารถลงมาได้เลยด้วยซ้ำ มาตรแม้นว่ากองกำลังใหญ่ในโลกาชั้นฟ้าจะมีอุบายที่แหกกฎธรรมชาติ สามารถฝืนลงมายังโลกามนุษย์ได้ แต่สิ่งที่ต้องแลกด้วยก็ไม่น้อยอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงจะไม่ยอมลงมาโลกามนุษย์ง่าย ๆ
“หอยอดอัมพรวินิจฉัยอย่างชัดเจนแล้วว่าบนตัวข้ามีสิ่งล้ำค่าในแดนเทวนิรันกาล ไม่แน่ใช้เวลาอีกไม่นาน ก็จะมีผู้แข็งแกร่งลงมายังโลกามนุษย์แล้ว”