มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2094
อสูรจิตทั้งปวงในฟ้าดินล้วนมีจิตและญาณ จิตคือวิญญาณ ญาณคือร่างกายและจิตใจ โดยต่างสอดคล้องกับวิญญาณดั้งเดิมและพลังจิตเลือดเนื้อ เมื่อรวมทั้งสองเข้าด้วยกันก็คือชีวีดั้งเดิม
และหากจะสังหารคนคนหนึ่งให้ตายนั้น ก็ต้องทำลายชีวีดั้งเดิมของฝ่ายตรงข้ามให้ดับสลาย สำหรับนักยุทธ์ที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารเป็นต้นไป สิ่งที่ทำลายยากมากที่สุดก็คือวิญญาณดั้งเดิม ขอแค่วิญญาณดั้งเดิมไม่ดับสลาย ต่อให้ร่างเนื้อหายสูญสิ้นไปหมดแล้ว ก็มีโอกาสฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
ดังนั้นเมื่อครู่ศีรษะของหลัวซิวถูกตัดออก สามารถเรียกได้เลยว่าเป็นการไปเดินวนที่ประตูนรกมารอบหนึ่งแล้วจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะเขาฝึกเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ และญาณเทวร่างมนุษย์หลบหลีกการโจมตีจากจิตสังหารได้ในช่วงเวลาที่สำคัญ เกรงว่าเขาคงได้กลายเป็นศพร่างหนึ่งไปแล้วจริง ๆ
ต่อให้ร่างอมตะจะเทพมากเพียงใด ทว่าจะเทพก็ต่อเมื่อไม่ถูกสังหารโดยแท้จริง
ทันทีที่ถูกสังหารโดยแท้จริง ร่างอมตะก็เปล่าประโยชน์แล้ว
การที่แทบจะได้ลาลับไปจากโลกนี้ ทำให้หลัวซิวตกตะลึงมากจนเหงื่อแตกท่วมตัว เขารีบหยุดเคลื่อนไหว ไม่กล้าลึกลงไปส่วนล่างของเหวปีศาจต่อ
ทุกจุดของเหวปีศาจดำสนิทอย่างไร้ขอบเขต มีเพียงกฎชีวิตบนตัวเขาเท่านั้นที่มีแสงเป็นประกายระยิบระยับสว่างดุจพระอาทิตย์ จิตสังหารในเมื่อครู่นี้ไม่เพียงทำลายเกราะป้องกันของวัฏสงสารภายในชั่วพริบตาเท่านั้น แม้กระทั่งการคุ้มกันจากกฎชีวิตก็ถูกทำลายภายในพริบตาเช่นกัน
หลัวซิวเพิ่งเคยพบการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ เขามั่นใจอยู่ว่าต่อให้เป็นจ้าวมหาเทพทั่วไปก็ไม่มีทางแข็งแกร่งเช่นนี้
“มิน่าล่ะเหวญาณปีศาจถึงถูกจัดให้เป็นสถานที่ต้องห้าม ทุกคนที่เข้ามาภายในนี้ ไม่เคยมีผู้ใดที่มีชีวิตรอดออกไปได้เลยแม้แต่คนเดียว”หลัวซิวพูดพึมพำคนเดียว แม้แต่เขาที่มีอุบายหลากหลายยังเกือบเสียชีวิตอยู่ที่นี่ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ ในดาราอัมพรเทวเลย
ทันใดนั้นเอง เขาก็สัมผัสจิตสังหารในเมื่อครู่นี้ได้อีกครั้ง ครั้งนี้เขาได้รวบรวมตัวสำนึกแล้วแผ่ตัวสำนึกออกไปตรวจสอบ ก่อนจะค้นพบร่องรอยหนึ่งตรงกำแพงหินจุดหนึ่งในเหวปีศาจ
ซึ่งจิตสังหารที่น่าสยดสยองก็ปะทุออกมาจากบนร่องรอยดังกล่าวนั่นเอง และในมุมมองของเขา เขารู้สึกว่าร่องรอยดังกล่าวเกิดจากการถูกดาบยุทธ์ฟัน
นี่จึงทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงขณะที่ถูกจิตสังหารจู่โจม เขารู้สึกเหมือนมีดาบยุทธ์เล่มหนึ่งผ่าฟันมาอย่างรางเลือน
“ออร่าจากรอยดาบจุดหนึ่งก็น่าสยดสยองเช่นนี้แล้ว ผู้ที่ทิ้งรอยดาบไว้ จักเป็นผู้แข็งแกร่งระดับใดกันนะ?”
สำหรับหลัวซิวแล้ว รอยดาบดังกล่าวได้อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของเขาแล้ว ต้องท้าวความก่อนว่าตำหนักวัฏสงสารเป็นสมบัติที่มีพลังแห่งเกณฑ์วัฏสงสารแฝงซ่อนอยู่เชียวนะ แม้แต่มันยังต้านทานไม่ได้ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าบางทีผู้แข็งแกร่งที่ทิ้งรอยดาบนี้เอาไว้ อาจจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ยึดกุมเกณฑ์
สำหรับหลัวซิวแล้ว กระทั่งวินาทีนี้แดนสูงสุดที่เขารู้จักนั้น ก็คือเทพมารระดับเก้าในโลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขารู้จักนั้นก็คือจ้าววัฏสงสารในยุคดึกดำบรรพ์ เขาไม่แน่ชัดว่าจ้าวแห่งวัฏสงสารคือเทพมาระดับเก้าหรือไม่ หรือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเทพมาระดับเก้า
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ยังห่างไกลจากเขามากเกินไป
“หรือว่าต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้?”หลัวซิวขมวดคิ้วลง หากถอยกลับไปตั้งแต่บัดนี้ละก็ การเดินทางมาเหวปีศาจในครั้งนี้ก็เท่ากับต้องกลับโดยเสียแรงเปล่า ส่วนเขานั้นก็เกือบฝากชีวิตไว้ที่นี่ แล้วเขาจะยอมได้อย่างไรเล่า?
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง หลัวซิวก็กัดฟันแน่น จากนั้นร่างกายเขาก็ดิ่งลงไปในเหวกะทันหัน
ฉึก!
ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ก็มีจิตสังหารที่น่าทึ่งปะทุออกมาจากรอยดาบบนกำแพงหินนั่นในทันที
ครั้งนี้หลัวซิวไม่ถูกตัดศีรษะ แต่ร่างกายครึ่งหนึ่งกลับถูกตัดสับลงมา เลือดสีแดงสดสาดกระเด็นปานสาดน้ำ
แต่ทว่าความเจ็บปวดที่รุนแรงกลับทำให้หลัวซิวไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่ เขารีบถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว อาศัยร่างอมตะฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บตามร่างเนื้อ
ปราณดาบที่รวดเร็วและดุดันเสี้ยวหนึ่งยังคงอยู่ภายในร่างกาย โชคดีที่มันไม่แข็งแกร่งแต่อย่างใด หลัวซิวเปลี่ยนดาราทั้ง 72 ดวงภายในร่างกายให้กลายเป็นค่ายกลใหญ่ แล้วค่อย ๆ กลั่นแปรปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งที่รุกรานเข้าไปภายในร่างกาย