มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2099
หนึ่งร่าง ดาบหนึ่งเล่ม สังหารผู้แข็งแกร่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สังหารคนไปมากจนนับไม่ถ้วน หล่อหลอมเป็นกระดูกขาวโพลนที่นับไม่ถ้วน กลายเป็นเหวปีศาจแห่งหนึ่ง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันเป็นเพราะเหตุใดกันแน่? แล้วเกิดเรื่องอะไรในยุคสมัยอันไกลโพ้นกันแน่?
อายุไขของผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ไม่ทันไรก็มีมากกว่าล้านปีแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ขึ้นไปถึงแดนจ้าวมหาเทพตลอดจนจักรพรรดิเทพ ยิ่งสามารถมีชีวิตยาวนานได้เป็นร้อยล้านปี
อายุไขเช่นนี้ดูเหมือนจะยาวนาน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ของดาราจักรวาลแล้ว กลับเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย
ในกาลเวลาที่ยาวนานของสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ มีความลับจำนวนมากที่ไม่สามารถสืบสาวเรื่องราวไปจนถึงต้นเหตุ เนื่องจากกาลเวลาผ่านพ้นมายาวนานมากเกินไป มาตรแม้นว่าในยุคสมัยก่อนวัฏสงสารโบราณพังทลาย ยุคสมัยที่จ้าววัฏสงสารทั้งแปดรุ่นยังยึดกุมเทียนเต้า
ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าว แม้แต่ผู้ที่มีจิตใจทะนงองอาจอย่างหลัวซิว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพยำเกรง
เนื่องจากเจ้าของโครงกระดูกทุกร่างที่เสียชีวิตอยู่ในนี้ ครั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่พวกเขาต้องเป็นผู้แข่งแกร่งที่ใช้เพียงนิ้วเดียว ก็สามารถบดขยี้เขาให้ตายได้แล้ว
อาวุธของขลังที่เสียหายอยู่ที่นี่ล้วนสูญเสียความเป็นเทพไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกสงสัยคือ เหตุใดเมื่อปีนั้นตำหนักวัฏสงสารถึงบินออกมาจากเหวปีศาจ?
อ้างอิงจากคำพูดของตัวมรณาเทพแห่งวัฏจักรชีวิต การปรากฏของตำหนักวัฏสงสารนั้น เป็นเพราะมันสัมผัสได้ถึงออร่าของจ้าววัฏสงสารรุ่นที่สิบอย่างเขามาถึงโลกะอัมพรเทว
ลูกแก้วความเป็นตายเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักวัฏสงสาร การที่ได้เป็นเจ้าของและถูกลูกแก้วความเป็นตายยอมรับนั้น ก็เท่ากับเป็นผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสารรุ่นที่สิบ
ยืนอยู่ศูนย์กลางโครงกระดูกที่นับไม่ถ้วน หลัวซิวกำลูกแก้วความเป็นตายไว้ในมือ ใช้ลูกแก้วความเป็นตายรวบรวมชี่มรณะทั้งหมด อดีตเคยมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากรบตายอยู่ที่นี่ ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปยาวนานอย่างไม่รู้จบ หลังเสียชีวิตออร่าของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้สลายหายไปเยอะมาก ๆ แล้ว แต่ถ้าเกิดรวบรวมชี่มรณะของที่นี่เข้าด้วยกัน ก็สามารถรวบรวมพลังกฎที่เทียบทัดยาเซียนระดับจ้าวมหาเทพออกมาได้หนึ่งเม็ด
เหวปีศาจกว้างใหญ่มาก ๆ ทว่าจากกำลังเท้าของหลัวซิว ใช้เวลาไปไม่นานมากนัก เขาก็แทบจะไปเยือนทุกจุดของเหวปีศาจมาแล้ว
อย่างไรก็ตามเขากลับไม่พบเบาะแสร่องรอยใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำหนักวัฏสงสารในนี้เลย นอกเหนือจากรอยดาบทั้งหลายแล้ว ทุกตำแหน่งล้วนเต็มเกลื่อนไปด้วยโครงกระดูก และมีออร่าของกาลเวลาอันเก่าแก่หมุนเวียนอยู่
แต่ทันใดนั้นเองก็มีความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่งส่งตรงมาจากแหวนเก็บของของหลัวซิว ถัดจากนั้นหยกชิ้นหนึ่งที่แตกหักไปแล้วก็บินออกมา และเปล่งแสงระยิบระยับอ่อน ๆ
“นี่คือ……”
เมื่อมองเห็นเศษหยกชิ้นนี้ รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลงอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากหยกชิ้นนี้คือหยกที่หยูจือโจวมอบให้เขาเมื่อปีนั้น ซึ่งเป็นกุญแจสิ่งยืนยันที่ใช้เปิดหุบเขาผนึกปีศาจ
เพล้ง……
ทันใดนั้นเอง โครงกระดูกที่อยู่ข้างกายหลัวซิวก็แตกกระจายออกเป็นวงกว้าง และมีแสงดวงหนึ่งบินออกมาจากด้านล่างของโครงกระดูก
หลัวซิวเพ่งมองไป ก่อนจะพบว่าแสงที่บินออกมาจากด้านล่างของโครงกระดูกก็คือเศษหยกชิ้นหนึ่งเช่นกัน
หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้าโดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย ก็ทำการคว้าเศษหยกชิ้นนั้นมาได้แล้ว ก่อนจะนำมันมาเปรียบเทียบกับเศษหยกในก่อนหน้านี้ แล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย เศษหยกทั้งสองชิ้นเข้ากันได้พอดี
เขานำเศษหยกทั้งสองชิ้นนี้มาใกล้กัน จากนั้นก็มีแสงเรืองกระพริบออกมาจากเศษหยกทั้งสองชิ้น แสงเรืองผสมผสานกัน จากนั้นเศษหยกทั้งสองชิ้นก็หลอมรวมกัน ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น