สัญชาตญาณของสตรีนั้นสุดยอดมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีเสี่ยวจื่อหรือฉียู่หรงและหนิงหานยู่ ต่างก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนตัวเขา
และสาเหตุที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้นั้น กลับเป็นเพราะหลัวซิวใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจเข้าไปภายในลูกแก้วความทรงจำลูกนั้น มองเห็นชาติปางก่อนของตนเอง
ข่าวคราวภายในลูกแก้วความทรงจำไม่สมบูรณ์แต่อย่าง เป็นเพียงการบรรยายของคนชุดเขียวต่อไท่ซ่างฉิง แต่ทว่าพวกภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในสมองเขากลับเหมือนตัวโน้มนำ กระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในวิญญาณเขา
ความทรงจำที่ถูกปลุกตื่นมากมายมหาศาลดั่งน้ำหลาก ภายในเวลาชั่วขณะทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นคือเขาเริ่มไม่ค่อยชัดเจนแล้วว่าตนเองคือไท่ซ่างฉิงหรือหลัวซิวกันแน่
และเขาก็ทราบแล้วเช่นกันว่าหลัวซิวในภพชาติปัจจุบัน คือเสี้ยวหนึ่งของวิญญาไท่ซ่างฉิงณที่กลับชาติมาเกิด
และตัวมรณาที่เขาคิดว่าเป็นเทพแห่งวัฏจักรชีวิตโบราณมาโดยตลอดในก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วคือเมิ่งเชียนชางที่มีความทะเยอทะยานมากเมื่อหลายแสนล้านปีก่อน
การปรากฏของความทรงจำจำนวนมาก ทำให้หลัวซิวตกสู่สภาวะที่แทบจะหลงผิด ดังนั้นเมื่อครู่เขาถึงได้นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ทำให้สตรีทั้งสามนางรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนที่เย็นชาเข้าหายาก
จากการที่ความทรงจำถูกหลอมรวมกันยิ่งอยู่ยิ่งมาก สิ่งที่หลัวซิวเข้าใจก็ยิ่งมากเช่นกัน เขาเข้าใจแล้วว่าเมื่อหลายแสนล้านปีที่ผ่านมา ขณะที่เขาและจี้หวูชวงร่วมกันทลายกงล้อวัฏจักรธรรม ไท่ซ่างฉิงที่เป็นตนเองในอดีตได้วางแผนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ออกจากเรือรบ หลัวซิวมาถึงดาวเคราะห์ที่รกร้างเงียบเหงาดวงหนึ่ง เขาเบิ่งมองห้วงดาราพลางพูดพึมพำคนเดียว “มันคุ้มค่าหรือ? วางแผนเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้เพื่อทุกสรรพสิ่งในจักรภพ หรือแสวงหาธรรมที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง?”
คำถามนี้ เป็นคำถามที่ตัวตนหลัวซิวในภพชาติปัจจุบันซักถามไท่ซ่างฉิงในอดีต
“คำถามนี้มันสำคัญหรือ? ไม่ว่าจะทำเพื่อทุกสรรพสิ่งในจักรภพ หรือทำเพื่อแสวงหาธรรมที่ยิ่งใหญ่ก็ช่าง ข้าก็ทำทั้งหมดนี้สำเร็จแล้ว”
ท่านใดนั้นเอง หลัวซิวก็เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกหนึ่งตัวตน และพึมพำสนทนากับตัวเองเหมือนเคย
ดูเหมือนมีคนเดียว ทว่าหลัวซิวกลับกำลังสนทนากับไท่ซ่างฉิงอยู่
เขานั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนดาวเคราะห์ที่เงียบเหงาดวงนี้อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ความสับสนก็หายไปแล้ว และสิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างหนึ่ง
“ไท่ซ่างฉิงคืออดีต ข้านั้นเป็นเพียงหลัวซิว! ชาตินี้จะสำเร็จก็ดี ล้มเหลวก็ช่าง ข้าคือหลัวซิว ข้าจักไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับการแสวงหาวิถี แล้วมองข้ามเหล่าผู้คนที่อยู่รอบกาย!”
บริเวณรอบ ๆ เงียบเหงาวังเวง มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่กำลังพูดเองเออเอง
โครมคราม……
ทันใดนั้นเอง พลังออร่าอันแข็งแกร่งที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ก็ปรากฏบนนภาดาวเคราะห์ที่เงียบเหงาวังเวงดวงนี้ ออร่าชี่มรณะที่ไร้ขอบเขตบดบังเมฆบนท้องฟ้า เสียงที่เย็นยะเยือกถึงขีดสุดค่อย ๆ สะท้อนมา
“เจ้าหนู ส่งชิ้นส่วนของกงล้อวัฏจักรธรรมออกมาซะ ของล้ำค่าเช่นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถครอบครองได้”
เงาร่างของผู้อาวุโสชุดคลุมยาวดำปรากฏ นั่งถ้าขัดสมาธิอยู่บนโลงศพโบราณทองสัมฤทธิ์ เย็นเยือกหม่นหมอง เหมือนดั่งปีศาจร้ายที่คลานขึ้นมาจากนรก
ในขณะเดียวกัน พลังออร่าที่ยิ่งใหญ่ก็กดอัดมา ผนึกท้องฟ้าเอาไว้ ทั้งดาวเคราะห์ล้วนถูกผนึก ราวกับกลายเป็นกรง ส่วนหลัวซิวนั้นเหมือนดั่งอสูรที่หลุดพ้นจากกรงนี้ไม่ได้
“เทพมารระดับสี่”
หลัวซิวหรี่ตาลง ความทรงจำของไท่ซ่างฉิงถูกปลุกตื่นแล้ว ความรู้ความเข้าใจในแดนยุทธ์ของเขาอยู่เหนือขอบเขตของมหาโลกาพันสาม แต่เป็นการตัดสินโดยการแบ่งแดนตามยุคดึกดำบรรพ์
เทพมารระดับสี่ เมื่อเปรียบเทียบในมหาโลกาพันสามแล้ว ก็คือจ้าวมหาเทพ
ในยุคดึกดำบรรพ์อันไกลโพ้น การแบ่งแดนยุทธ์ไม่ได้ยุ่งยากหลากหลายเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่แท้จริง ตัดสินกันที่ศักยภาพความสามารถ แต่ไม่ใช่คำเรียกขาน