“หื้ม? เจอแล้ว!”
ผ่านไปไม่นัก หลัวซิวก็กระตุกยิ้มมุมปาก ซึ่งรอยยิ้มเช่นนั้นให้ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างล้วนถูกยึดกุมอยู่ในกำมือ
สถานที่ส่วนมากในทะเลสาบมังกรทองล้วนมีค่ายกลต้องห้าม จึงแสดงให้เห็นว่าบางทีมังกรทองโบราณอาจจะทิ้งอะไรบางอย่างไว้ที่นี่
และในเวลานี้เอง ม้วนหยกสื่อสารก็สั่นเทิ้ม เป็นข่าวคราวที่เซียวอันส่งมาให้เขา เซียวอันได้ส่งพิกัดตำแหน่งหนึ่งมาให้เขา เพื่อให้เขารีบไปรวมตัวกับเขา
ขณะที่ได้รับข่าวคราวดังกล่าว ความรู้สึกบนใบหน้าหลัวซิวก็ดูแปลกไปอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากตำแหน่งพิกัดที่เซียวอันส่งให้เขานั้น ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งที่เขาอนุมานเป๊ะ
“อย่างนี้ก็ได้หรือ?”
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกหมดคำจะพูดเล็กน้อยจริง ๆ เป็นตำแหน่งที่เขาต้องใช้กลอุบายบางอย่างถึงจะอนุมานออกมาได้ แต่พวกเซียวอันที่เดินทางมาพร้อมกับตนถึงกับเจอสถานที่แห่งนั้นด้วยความบังเอิญอย่างนั้นหรือ?
อีกทั้งดูจากข่าวคราวที่เซียวอันส่งมา ราวกับว่าผู้คนที่ค้นพบสถานที่แห่งนั้นมีไม่น้อยเลย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในโลกฝึกยุทธ์ โชคก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริง ๆ
……
เมื่อมีพิกัดตำแหน่งที่ถูกต้อง หลัวซิวจึงพาสตรีทั้งสามนางมาถึงที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว เส้นทางจำนวนมากที่มีจุดเริ่มต้นจากหุบเขา เชื่อมต่อทั่วถึงกันในใต้ดินของเกาะแห่งนี้ แต่ทว่ามีเพียงไม่กี่เส้นทางเท่านั้น ที่สามารถมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้
นี่คือตำหนักหนึ่งหลังที่ซ่อนอยู่ใต้เกาะแห่งนี้ เนื่องจากตำหนักตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลงมาจากพื้นดินสิบกว่าไมล์ ภายใต้สถานการณ์ที่วิญญาณตัวสำนึกถูกกดอัด โดยส่วนใหญ่แล้วแทบจะไม่มีคนค้นพบสถานที่แห่งนี้ได้โดยการใช้ตัวสำนึกเลย
เมื่อหลัวซิวพาสตรีทั้งสามนางมาถึงที่นี่ และพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยได้รวมตัวกันหน้าตำหนัก ในจำนวนทั้งหมด มีกองกำลังหนึ่งที่มีสมาชิกสิบคน นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นมกุฎเทพช่วงปลายทุกคน ออร่าของผู้ที่เป็นผู้นำนั้นลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ ทำให้รูม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย เป็นกึ่งจ้าวมหาเทพอย่างนั้นหรือ!
กึ่งจ้าวมหาเทพในโลกามนุษย์นั้น เป็นบุคคลที่ถูกกองกำลังชั้นในมหาโลกาใบหนึ่งมองว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่เป็นภูมิฐานและข่มกองกำลังทั้งหลายได้เชียวนะ ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งเช่นนี้จะเดินไปถึงมุมใดของโลกามนุษย์ ก็สามารถทำทุกอย่างตามอำเภอใจได้
สายตาของหลัวซิวกวาดสำรวจที่นี่อย่างเรื่อยเปื่อยรอบหนึ่ง ก่อนจะมองเห็นพวกเซียวอัน ในขณะเดียวกันสายตาเขายังสังเกตเหตุคนคนหนึ่งด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปาก
เนื่องจากคนคนนั้นก็คือหยูจือโจว เดิมทีสาเหตุที่เขามาดารานภากาศทมิฬนั้นก็เพื่อมาตามหาหยูจือโจว นึกไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญเช่นนี้ ทันทีที่มาถึงทะเลสาบมังกรทองก็เจอเจ้าหมอนั่นเลย
แต่ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้เข้าไปทักทายหยูจือโจว เนื่องจากเขาเห็นว่ารอบกายหยูจือโจวยังมีคนอีกหลายคน ดูเหมือนจะเป็นกองกำลังที่ตั้งขึ้นมาชั่วคราว
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สังเกตเห็นด้วยว่าสีหน้าของเซียวอันดูไม่ค่อยดี จึงถามอย่างอดไม่ได้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
“สหายหลัวพวกเจ้ามาแล้วหรือ ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก เมื่อครู่ข้าเจอเลือดมังกรนิดหน่อย ทว่ากลับถูกคนแย่งไปแล้ว”ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น สายตาของเซียวอันก็กวาดผ่านกองกำลังที่มีผู้แข็งแกร่งกึ่งจ้าวมหาเทพนั่นบัญชาการรอบหนึ่ง
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจากศักยภาพของเซียวอัน ผู้ที่สามารถทำให้เขากล้ำกลืนฝืนทนได้นั้น ก็คงมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจ้าวมหาเทพเท่านั้นแล้ว
“ผู้มีศักยภาพถึงจะได้ครอบครองโอกาสสมบัติ เป็นเพียงมดตัวจ้อยที่แม้แต่ผลการฝึกตนยังบรรลุไม่ถึงแดนมกุฎเทพ ไม่มีคุณสมบัติยืนอยู่ที่นี่!”
และในเวลานี้เอง ก็มีชายชุดดำที่ร่างกายกำยำพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นคำหนึ่ง สายตากวาดมองมาทางพวกหลัวซิวอย่างไม่เกรงใจ
“อูห้าวฉง เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
สีหน้าของเซียวอันเยือกเย็นลง พลังออร่าระดับมกุฎเทพขั้นสูงพรั่งพรูออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก: “ทุกท่านนี้เป็นสหายของข้า อูห้าวฉงเจ้าใหญ่โตมาจากที่ใด?”
“สหาย? ฮ่าฮ่า มดตัวจ้อยกระจอก ๆ แม้แต่ผลการฝึกตนยังบรรลุไม่ถึงมกุฎเทพ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสหายของเซียวอันเจ้าอย่างนั้นหรือ?”อูห้าวฉงยิ้มอย่างเยาะเย้ยพลางพูด
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าอูห้าวฉงนี้รู้จักกับเซียวอันอยู่ อีกทั้งความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ค่อยดีมากนัก