เมื่อได้รับของทั้งหมดนี้ เป้าหมายของหลัวซิวก็บรรลุแล้ว เขาไม่ได้รีบจากไป แต่เป็นการนั่งท่าขัดสมาธิลงบนแท่นบูชานั้น มีขวดเศษณ์ขวดหนึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะ แล้วมีเลือดมังกรสีทองไหลหยดลงมาจากขวดอย่างต่อเนื่อง
หลัวซิวทราบอยู่ว่าทันทีที่ออกไปละก็ ต้องถูกพวกบรรพอาจารย์เทียนคุนรุมโจมตีอย่างแน่นอน แม้เขาจะมั่นใจว่าตัวเองสามารถถอยกลับไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยได้ แต่ถ้าเกิดยกระดับศักยภาพของตัวเองให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เช่นนั้นก็จะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
เดิมทีร่างเนื้อของเขาก็ผ่านการชุบโดยสมุนไพรเพิ่มพลังนานาชนิดและทรัพยากรดุจมหาทีแล้ว บรรลุถึงระดับร่างยุทธ์มกุฎเทพขั้นสูง ส่วนครั้งนี้หลัวซิวจะทลายกฎเกณฑ์ทุกอย่างที่ไม่ปรากฏมาก่อน ทะลุสู่แดนร่างยุทธ์จ้าวมหาเทพในครั้งเดียว
ทันทีที่ร่างยุทธ์ร่างเนื้อบรรลุยกระดับ จากร่างยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพ เขาก็จะมีต้นทุนในการต่อกรกับจ้าวมหาเทพโดยตรง แล้วจะเกรงกลัวกึ่งจ้าวมหาเทพกระจอก ๆ ในโลกามนุษย์ได้อย่างไรเล่า?
ก่อนหน้านี้ไม่มีบทที่สามของเคล็ดวิชาจุดลมปราณ ทำให้หลัวซิวไม่สามารถยกระดับแดนร่างยุทธ์ร่างเนื้อตลอดมา ทว่าหลังจากปลุกตื่นความทรงจำของไท่ซ่างฉิงแล้ว ปัญหานี้จึงถูกแก้ไขไปอย่างราบรื่น
เนื่องจากในช่วงระยะสุดท้ายของยุควัฏสงสาร ไท่ซ่างฉิงก็ริเริ่มเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าโดยการอ้างอิงจากเคล็ดวิชาจุดลมปราณ ใช้เคล็ดเซียนทั้งสองประเภทนี้เพิ่มเสริมซึ่งกันและกัน จนแทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในโลกหล้า
ดังนั้นในความทรงจำของไท่ซ่างฉิงจึงมีเคล็ดวิชาจุดลมปราณฉบับสมบูรณ์แบบอยู่
แก่นสารที่แฝงซ่อนอยู่ในเลือดมังกรถูกร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวดูดซับ ครั้งนี้จุดลมปราณที่เขาเลือกเปิดคือจุดลมปราณที่อยู่บนขาซ้าย แขนขาทั้งสี่ข้างของมนุษย์สอดคล้องกับสี่ระดับ หรือสี่กฎชั้นยอดนั่นเอง แขนทั้งสองข้างสอดคล้องกับการเวียนว่ายตายเกิด ขาทั้งสองข้างสอดคล้องกับห้วงเวลา
ซึ่งสิ่งที่ขาซ้ายสอดคล้องด้วยคือกฎปริภูมิ ซึ่งสามารถทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทุกกิริยาท่าล้วนสามารถกระตุ้นพลังแห่งปริภูมิ สังหารศัตรู
ในขณะเดียวกัน ระหว่างขั้นตอนการกลั่นแปรเลือดมังกร ผลการฝึกตนของหลัวซิวก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
สำหรับหลัวซิวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตระหนักรู้ในกฎ หรือการฝึกเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าและเคล็ดวิชาจุดลมปราณ ล้วนเป็นบริการที่ทำเพื่อวิถีหมื่นจักรวาลไร้รูป
การพัฒนาหมื่นจักรวาลไร้รูปคือแก่นแท้วิถียุทธ์ของเขาต่างหาก
เลือดมังกรที่หลงเอ้าซูทิ้งไว้นั้นมีเยอะมาก ๆ แต่สำหรับหลัวซิวเลือดมังกรครึ่งเดียวก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้เขาลอกคราบใหม่ได้แล้ว การกลั่นแปรเลือดมังกรที่มากกว่าจึงไม่มีความหมายอะไร
ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงแดนจ้าวมหาเทพโดยปริยาย แม้จะเป็นเพียงระดับจ้าวมหาเทพทั่วไป แต่ภายใต้สถานการณ์ ณ บัดนี้กลับเพียงพอแล้ว
นอกเหนือจากนี้แล้วผลการฝึกตนของเขาก็ยกระดับถึงแดนราชาเทพขั้น 6 หากมีเวลาที่เพียงพอ การบรรลุอย่างต่อเนื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก แต่หลัวซิวกลับไม่ได้กระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้า
เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าการเลื่อนขั้นของผลการฝึกตนวิถียุทธ์นั้น เส้นทางที่ถูกต้องที่สุดคือเส้นทางที่มั่นคงที่สุด
ครั้งนี้หลัวซิวบรรลุปิดขังอยู่ภายในโลกาศุภร เวลาโลกภายนอกผ่านไปสิบวัน แต่เขาที่อยู่ในโลกาศุภรกลับฝึกตนไปเกือบครึ่งปี
เดินย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม หลัวซิวทะลุผ่านประตูใหญ่ของตำหนักอีกครั้ง แล้วมาถึงด้านนอก
เหมือนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ทุกประการ พวกบรรพอาจารย์เทียนคุนรอคอยอยู่นอกตำหนักมาสิบวันแล้ว เสี้ยววินาทีที่เห็นเขาออกมา สายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารที่รวดเร็วและดุดันก็ผนึกมาที่ร่างเขา
“ช่างเป็นคนหนุ่มที่มีพลังน่ากลัวพร้อมที่จะแซงคนมีอายุได้จริง ๆ เป็นค่ายกลต้องห้ามที่แม้แต่ข้าอย่างหมดซึ่งหนทางปัญญา แต่เจ้ากลับสามารถทะลุผ่านประตูและเข้าไปภายในได้อย่างง่ายดาย”
บรรพอาจารย์เทียนคุนยืนอยู่เหนือมวลชน กราดมองหลัวซิวลงมาจากที่สูงพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกไปแล้วว่าผู้ใดที่สามารถทลายค่ายกลของสถานที่แห่งนี้ได้ ก็จะให้คนดังกล่าวเลือกสมบัติที่อยู่ภายในตามใจหนึ่งชิ้น ข้ายังรักษาสัจจะในคำมั่นสัญญาดังกล่าวอยู่!”