มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2367
เหมือนอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้ ตั้งแต่เขาบรรลุสู่แดนมกุฎเทพริเริ่มกฎไร้ลักษณ์แล้ว พลานุภาพของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธในการบรรลุทุก ๆ แดนของเขา ล้วนน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธในครั้งนี้ทรงพลังกว่าครั้งก่อน อนาคตเมื่อเขาฝึกถึงแดนที่สูงกว่า เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอนาคตทัณฑ์สายฟ้าพิโรธที่ตัวเองต้องเผชิญหน้าด้วย จะหน้าสยดสยองถึงระดับใด
เขาทราบอยู่ว่าสาเหตุที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะกฎไร้ลักษณ์ของเขา ไม่ถือเป็นกฎใด ๆ จักรวาลฟ้าดิน เมื่ออยู่เหนือจักรวาลฟ้าดิน จึงเป็นสิ่งที่ธรรมจักรวาลฟ้าดินไม่อาจยอมรับได้
หลัวซิวราวกับมีการตระหนักรู้เล็กน้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ดูเหมือนพลังอมตะที่เขาตระหนักได้จากผังปรปักษ์สวรรค์ ผังปรปักษ์สวรรค์และภาพปราบสวรรค์ก็มีความเร้นลับที่ไม่ใช่ธรรมจักรวาลฟ้าดินซ่อนอยู่เช่นกัน
“ดูท่าเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งยุคในยุคไท่ชูที่เฉือนระห่ำสังหารสวรรค์ สิ่งที่พวกเขาฝึกนั้นก็ไม่ใช่ธรรมในจักรวาลฟ้าดินเช่นกัน เนื่องจากถ้าเกิดเป็นธรรมจักรวาลฟ้าดิน ก็จะไม่สามารถต่อกรกับสวรรค์ได้ เนื่องจากทุกสรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนถูกควบคุมโดยสวรรค์”
หลัวซิวค่อย ๆ คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ออก พลางพูดพึมพำ: “พลังอมตะตราประทับปรปักษ์สวรรค์ที่ข้าวิวัฒนาการออกมาจากผังปรปักษ์สวรรค์ พลังอมตะหมัดจ้านเทียนที่วิวัฒนาการออกมาจากผังปรปักษ์สวรรค์ แล้วก็พลังอมตะปราบสวรรค์หอกโลหิตที่วิวัฒนาการออกมาจากภาพปราบสวรรค์โดยกฎไร้ลักษณ์ นี่แสดงว่ากฎไร้ลักษณ์ของข้าไม่เพียงสามารถวิวัฒนาการธรรมกฎในจักรวาลฟ้าดินออกมาได้ แม้จะไม่ใช่พลังของจักรวาลฟ้าดิน ข้าก็สามารถวิวัฒนาการออกมาได้เช่นกัน!”
การค้นพบและการตระหนักรู้นี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจมาก เนื่องจากเช่นนี้แสดงว่ากฎไร้ลักษณ์ของเขามีศักยภาพที่สูงมาก มาตรแม้นว่าเป็นพลังทั้งหมดที่อยู่เหนือจักรวาลฟ้าดิน กฎไร้ลักษณ์ก็เป็นพลังที่ระดับค่อนข้างสูงประเภทหนึ่ง
“โครม!”
เขายกมือขึ้นแล้วพลิกฝ่ามือทีหนึ่ง ปลดปล่อยพลังอมตะตราประทับปรปักษ์สวรรค์ออกมา เงาวิญญาณแห่งวีรบุรุษที่นับไม่ถ้วนปรากฏ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ระเบิดแตกเป็นฝุ่นผงภายในพริบตา พลังที่น่าสยดสยองแผ่กระจายมา จนทำให้ห้วงดาราหนึ่งแตกสลาย
ในพลังอมตะทั้งสามประเภท อานุภาพของตราประทับปรปักษ์สวรรค์เล็กที่สุด ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ จากแดนมกุฎเทพขั้น 3 ของเขาในปัจจุบัน พลานุภาพของตราประทับนี้ ก็สามารถเทียบทัดพลังอำนาจในการโจมตีหนึ่งของผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพขั้น 4 แล้ว
หากปลดปล่อยหมัดจ้านเทียนออกมา สามารถเทียบทัดจ้าวมหาเทพขั้น 6 และขั้น 7 หากเป็นปราบสวรรค์หอกโลหิตที่มีพลานุภาพทรงพลังมากที่สุด ยิ่งเพียงพอที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพช่วงปลาย
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือศักยภาพของตัวเขาเอง ไม่มีการอาศัยกำลังภายนอกใด ๆ หากเป็นอดีต เขาก็ทำได้เพียงอาศัยพลานุภาพแห่งกระบี่ร่องฟ้า ถึงจะสามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งตั้งแต่จ้าวมหาเทพช่วงปลายเป็นต้นไปได้
“โฮกก!”
เสียงคำรามของอสูรดูดจิตดังขึ้น ร่างกายที่มีสีดำสนิทลุกลามบินตรงมา เขาที่แหลมคมสามเขาบนหัวกลายเป็นสีม่วงไปแล้ว
ตั้งแต่ร่างรวมครั้งก่อนเป็นต้นมา อสูรดูดจิตก็ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับใหล อีกทั้งหลังจากกลืนกินช่องจิตของจักรพรรดิเทพที่หลัวซิวมอบให้ อสูรดูดจิตก็เริ่มวิวัฒนาการสู่แดนจักรพรรดิเทพเช่นกัน
เมื่อชนเผ่าราชันย์อสูรกลืนจิตวิวัฒนาการถึงระดับราชาเทพ เขาอสูร เกล็ดและกรงเล็บล้วนจะกลายเป็นสีม่วง และจะเริ่มสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างชนเผ่าราชันย์และอสูรดูดจิตทั่วไปตั้งแต่ระดับนี้ด้วย
เป็นอสูรดูดจิตที่อยู่ในระดับราชาเทพเหมือนกัน แต่ลำตัวของชนเผ่าราชันย์จะเป็นสีม่วงล้วน ส่วนอสูรดูดจิตทั่วไปนั้นจะยังคงเป็นสีดำอยู่เช่นเคย
ปัจจุบันเขาอสูรของมันกลายเป็นสีม่วงไปแล้ว ซึ่งยังห่างจากการบรรลุเป็นราชาเทพอีกช่วงหนึ่ง ทว่าขอแค่ดูดกลืนช่องจิตระดับจักรพรรดิเทพมากขึ้น เช่นนั้นเขาก็จะสามารถวิวัฒนาการสำเร็จ กลายเป็นชนเผ่าราชันย์สีม่วง
“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่บรรลุ ศักยภาพพุ่งพรวด”ตั้งแต่วิวัฒนาการเป็นสายเลือดเผ่าราชันย์เป็นต้นมา อสูรดูดจิตก็สามารถพูดภาษามนุษย์ได้แล้ว ศีรษะที่ใหญ่โตมโหฬารดั่งภูเขาขยับใกล้เข้ามาพูดเสียงดังทุ้ม