มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2379
“มหาจักรพรรดิยุทธ์์ ระดับค่ายกลของสถานที่แห่งสูงส่งเกินไป พวกข้าก็จนปัญญาเช่นกันขอรับ”มหาปรมาจารย์ทั้งสามคนส่ายหน้า แล้วพูดกับมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิและจ้านเทียนทั้งสองคน
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิคาดการณ์ความล้มเหลวของมหาปรมาจารย์ค่ายเทพได้ตั้งนานแล้ว เขาปัดมือไปมาก่อนจะให้ผู้อาวุโสทั้งสามถอยลงไป
และในเวลานี้เอง สายตาของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิก็กวาดมองไปทางผู้คนจากสำนักจักรพรรดิจ้านเทียนและเผ่าจี้ ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยปากพูด: “เมื่อครู่ทุกท่านก็เห็นแล้ว ไม่สามารถทลายค่ายกลของสถานที่แห่งนี้ได้ เช่นนั้นจึงทำได้เพียงใช้อำนาจโจมตี เมื่อจักรพรรดิเทพเกือบ 20 คนของเราทั้งสามฝ่ายร่วมมือกัน เชื่อว่าต่อให้ต้องโม่ ก็สามารถโม่ค่ายกลต้องห้ามของสถานที่แห่งนี้ได้”
“หากมันง่ายดายเช่นนี้ละก็ เหตุใดมหาจักรพรรดิยุทธ์์ถึงไม่เปิดสถานที่แห่งนี้ออกตั้งแต่หลายร้อยล้านปีก่อนเล่า?”นายแห่งเผ่าจี้พูดถึงความเห็นที่แตกต่าง
สีหน้าอารมณ์ของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิเรียบนิ่งแล้วอธิบาย: “เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน หากไม่ใช่เพราะข้าใช้อำนาจโจมตีค่ายกลของสถานที่แห่งนี้แล้วได้รับความเสียหาย ผลการฝึกตนก็จะไม่ร่วงหล่นมาถึงอย่างปัจจุบันแล้วไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืนไปได้ แต่ทว่าเมื่อปีนั้นข้าก็ไม่ทำอะไรที่ไร้ประโยชน์ ค่ายกลต้องห้ามของสถานที่ดังกล่าวก็มีการลดลงเช่นกัน บวกกับเวลาล่วงเลยไปหลายร้อยล้านปีแล้ว อานุภาพจึงลดลงเยอะมาก”
คำอธิบายนี้ของเขาฟังดูสมเหตุสมผล ทำให้ผู้คนหาจุดผิดปกติไม่ได้
แท้จริงแล้วเมื่อดำเนินการมาถึงขั้นนี้ ทั้งสามฝ่ายต่างทราบอยู่ว่าวังเทียนหมิงต้องเป็นสถานที่ที่อันตรายมากอย่างแน่นอน ดังนั้นเวลานี้ทุกคนจึงต่างระมัดระวังมาก ๆ กลัวแค่ว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามวางแผนลอบทำร้าย
โดยเฉพาะฝั่งเผ่าจี้ มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิและมหาจักรพรรดิยุทธ์์จ้านเทียนจูงมือกันมาด้วยกันตั้งแต่แรก นี่จึงแสดงให้เห็นว่าในการปฏิบัติการในครั้งนี้ มีโอกาสที่มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิและมหาจักรพรรดิยุทธ์์จ้านเทียนร่วมมือการสูงมาก
เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย และในเวลานี้เองมหาจักรพรรดิยุทธ์์จ้านเทียนก็เอ่ยปากพูด: “ข้ายอมรับข้อเสนอแนะของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิ ในเมื่อทลายไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ใช้อำนาจโจมตีเถิด”
นายแห่งเผ่าจี้ขมวดคิ้วลง ทว่าเมื่อถึงเวลานี้ เผ่าจี้จะถดถอยไม่ได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาก็พยักหน้าแล้วพูด: “เผ่าจี้ของข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน”
“ในเมื่อทุกคนต่างเห็นด้วย เช่นนั้นก็เตรียมตัวลงมือเถอะ”มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิหลุดหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง จากนั้นทั้งสามฝ่ายก็ยืนประจำที่ ต่างพากันโคจรผลการฝึกตน แล้วเรียกของขลังอาวุธสงครามของตัวเองออกมา
สิ่งที่มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิเรียกออกมานั้นก็ยังคงเป็นโลงเทพทองสัมฤทธิ์นั่นอยู่เช่นเคย อดีตหลัวซิวไม่ทันได้สังเกต ทว่าครั้งนี้เมื่อเห็นโลงเทพทองสัมฤทธิ์ใบนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด มันทำให้เขารู้สึกว่าออร่าของโลงเทพใบนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับหีบศพทมิฬที่อยู่บนแท่นบูชาเทพมาร
“โลงแห่งเลือดเนื้อ?”หลัวซิวหรี่ตาลง ในที่สุดเขาก็คิดจุดที่ทั้งสองสิ่งคล้ายกันได้สักที นั่นก็คือไม่ว่าจะเป็นโลงเทพทองสัมฤทธิ์ หรือหีบศพฝังสวรรค์ ต่างหลอมสร้างขึ้นมาจากร่างแห่งเลือดเนื้อผู้แข็งแกร่ง!
นี่คือโลงศพที่สร้างด้วยอุบายร่างแห่งเลือดเนื้ออย่างไรข้อสงสัยเลย ซึ่งมันต้องเป็นเคล็ดวิชาเก่าแก่ที่ขาดการสืบสานอย่างแน่นอน เนื่องจากมาตรแม้นว่าเป็นไท้ซ่างฉิงในอดีต เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นหนึ่งไม่เป็นสอง ไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่ทราบ แต่กลับไม่เคยได้ยินเคล็ดวิชาประเภทนี้มาก่อน
ตู้ม!
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิเรียกโลงเทพออกมา โลงเทพขยายใหญ่ขึ้นกะทันหัน แล้วพุ่งชนเข้ากับประตูใหญ่วังเทียนหมิงรุนแรงอย่างยิ่ง จนเกิดเป็นเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นที่ดังสนั่นหู
จากการนำขบวนของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิ คนอื่นก็ต่างพากันลงมือเช่นกัน มีลำรัศมีเทวสาดสองออกมาจากรถรบโบราณและเรียบง่ายที่อยู่ใต้เท้ามหาจักรพรรดิยุทธ์์จ้านเทียนอย่างต่อเนื่อง พลังโจมตีของมหาจักรพรรดิยุทธ์์ทั้งสองคนและจักรพรรดิเทพอีกสิบกว่าคนร่วงลงบนประตูใหญ่วังเทียนหมิงอย่างไม่หยุดหย่อน ตำหนักใหญ่ที่สูงตระหง่านนี่ถูกโจมตีจนสั่นสะเทือน
“ผู้น้อยหลัว ทุกคนมาสำรวจแดนปริศนาด้วยกัน เจ้าก็ควรออกแรงหน่อยหรือเปล่า หรือจะรอเอาผลประโยชน์อย่างเดียว?”
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิเห็นว่าหลัวซิวไม่ได้ลงมือ จึงขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้พลางพูด