มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2398
“ตระกูลมู่สรรพสิทธิ์?”
หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ต่อให้เจ้าเป็นคนของตระกูลมู่สรรพสิทธิ์ก็ไร้ประโยชน์ ฉินเฟยเสวคือเพื่อของข้า ไม่ว่าเจ้าจะไล่ฆ่านางด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในตอนนี้เจ้าควรจากไปได้แล้ว”
คงามสัมพันธ์ระหว่างหลัวซิวกับตระกูลมู่สรรพสิทธิ์ อยู่ในความตึงเครียดมาตลอด สามารถเข้าสู่สถานการณ์นองเลือดได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจตระกูลมู่สรรพสิทธิ์มากถึงเพียงนั้น แต่ท่ามกลางมหาโลกาพันสามนี้ ไม่ว่าจะเป็นการผงาดขึ้นเผ่าจี้หรือตระกูลเทพสงคราม หรือแม้แต่ตัวของเขาเองก็ตาม หากสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับตระกูลมู่สรรพสิทธิ์ได้ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเป็นไหน ๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว มู่กว่างเต๋อก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา “ผู้เพื่อนยุทธ์กล่าวเช่นนี้ เกรงว่าจะจองหองเกินไปแล้ว หรือจะบอกว่าไม่เห็นหัวพวกเราตระกูลมู่เช่นนั้นหรือ?”
ยังไม่ทันสิ้นคำพูดของมู่กว่างเต๋อ ทันใดนั้นเสียงลมหายใจอันเยือกเย็นก็ลอยเข้ามาถึงหูของเขา จากนั้นพลังหนึ่งที่แข็งแกร่งมากก็แผ่กระขยายออกมาจากร่างของหลัวซิว ทันใดนั้น สีหน้าของเขาที่ถูกพลังกดขี่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง ลมหายใจถูกกลั้นไว้ในอกไม่สามารถปล่อยออกมาได้
อสูรกลืนจิตที่นอนพาดอยู่บนบ่าของหลัวซิวก็ปลดปล่อยอาณาเขตกลืนจิตออกมา เงามืดแห่งความตายรูปแบบหนึ่งครอบอยู่ในหัวใจ ทำให้จิตใจของมู่กว่างเต๋อกระสับกระส่ายอย่างบ้าคลั่ง ในวินาทีนี้เขาสิ้นความสงสัยแล้วว่าอีกฝ่ายครอบครองพลังที่สามารถสังหารตนได้ กระทั่งพลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งถึงขั้นที่เขาไม่สามารถตอบโต้ได้ด้วยซ้ำ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะถูกสังหารเพียงชั่วพริบตา!
ในครั้งนี้มู่กว่างเต๋อกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว รีบร้อนยกมือขึ้นมาคารวะ ลดท่าทีอวดดีของตนเองลง พร้อมเอ่ยว่า “ข้าน้อยสะเพร่าเอง ไม่รู้ว่าสหายจะสามารถบอกสมญานามไว้ได้หรือไม่ เมื่อข้าน้อยกลับไปจะได้กำชับกับผู้อื่นได้?”
ก่อนหน้านี้เขาแทนตัวเองว่าข้ามาตลอด แต่ในตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นข้าน้อยเสียแล้ว สำหรับผู้คุมกฎจ้าวมหาเทพที่เกิดใน ตระกูลมู่สรรพสิทธิ์แล้วนั้น เรียกได้ว่าได้ลดท่าทีลงมาจนต่ำที่สุดแล้ว
อีกทั้งยังกลัวว่าหลัวซิวจะเข้าใจผิด เขารีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย “ข้าน้อยขอทราบเพียงสมญานามสหายเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงแม้สักนิดเดียว”
หลัวซิวที่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบ “ข้านามว่าหลัวซิว เจ้าจะเรียกข้าว่าซิวหลัวก็ย่อมได้ ผู้อาวุโสตระกูลมู่ของพวกเจ้าหลายคนต่างรู้จักข้าดี”
“เจ้า……”
มู่กว่างเต๋อได้ฟังคำพูดนี้ของหลัวซิว เขาก็ตกใจจนตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ไปชั่วครู่ บนหน้าผากยังผุดเหงื่อออกมาเป็นเม็ด
สำหรับชื่อของหลัวซิวนี้ อาจพูดไม่ได้ว่าทุกคนในใต้หล้าจะรู้จัก แต่อย่างน้อยในสำนัก ตระกูลใหญ่ หรือแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่าง ๆ แล้วเป็นที่ชื่อที่ดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาดอย่างแน่นอน
เป็นที่ล่ำลือกันมาอย่างยาวนาน หลัวซิวผู้นี้ในหลาย ๆ ครั้งจะแปลงชื่อเป็นซิวหลัว ถึงแม้ผลการฝึกตนเพียงแดนมกุฎเทพ แต่กลับครอบครองสมบัติและไพ่ตายที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด แม้กระทั่งยังมีความสำเร็จในการข้ามแดนสังหารจักรพรรดิเทพอีกด้วย!
ถึงแม้ในภายหลังจะถูกหลัวซิวและเผ่าจี้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น แต่ภายในของตระกูลมู่ กลับมีผู้อาวุโสเคยกล่าวไว้ว่า ผู้อาวุโสแห่งตระกูลมู่ท่านนั้นที่ตายอยู่ที่แท่นบูชาเทพมาร มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าการตายของเขา มีความเกี่ยวข้องกับหลัวซิวจริง ๆ!
ทั่วทั้งร่างของมู่กว่างเต๋อเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นมาด้วยความกลัว ถ้าหากว่าหลัวซิวผู้นี้มีพลังที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพได้จริง ๆ เช่นนั้นผู้คุมกฎจ้าวมหาเทพอย่างเขาที่ไปยั่วยุชายหนุ่มผู้นี้เข้า นับว่าเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง
เจ้าหนุ่มผู้นี้ แม้กระทั่งผู้สืบทอดและผู้อาวุโสแห่งตระกูลมู่ยังกล้าสังหาร ยังมีสิ่งใดที่เขายังไม่กล้าทำอีก?
ถึงขั้นที่ว่าจ้าวแห่งตระกูลมู่และผู้อาวุโสหลายท่านต่างก็เคยพูดเอาไว้ว่า ให้คนของตระกูลมู่พยายามหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูต่อหลัวซิวและเผ่าจี้ เพราะนายท่านเคยกล่าวไว้ หลัวซิวได้ประสบความสำเร็จแล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพลงมือเองก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะสังหารเขาได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับเขาแล้ว รอจนเมื่อเขาเติบโตขึ้นมา สำหรับตระกูลมู่แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งเผ่าจี้ ว่ากันว่ามีภูมิหลังที่ลึกลับ มรดกมากมายไม่อาจคาดเดา ตระกูลมู่ไม่คิดที่จะเป็นศัตรูกับเขา
สำหรับการตายของมู่ช่าวหวงและตระกูลมู่ผู้อาวุโส ตระกูลมู่ก็หยุดการสืบค้นไปชั่วคราวแล้ว