มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2442
เล่ากันว่าช่วงที่เผ่าจี้เจริญรุ่งโรจน์มากที่สุด พวกเขาคือเจ้าแห่งวงการที่มีเทพมารระดับเก้าคอยคุ้มกันรักษาหลายคนเชียวนะ แม้นว่าต่อมาจะมีการเสื่อมถอย ทว่าก็มีอัจฉริยะไร้เทียมทานอย่างจี้หวูชวงอุบัติขึ้นอย่างน่าเกรงขาม ไม่มีการถ่ายทอดสืบสานที่เป็นหัวใจสำคัญของเผ่าจี้ นางอาศัยความพยายามของตนเองเพียงอย่างเดียว ฝึกวิถีแห่งดาบจนยกระดับถึงแดนสูงสุด ยึดกุมเกณฑ์แห่งกระบี่ บรรลุเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ห่างจากแดนผู้สูงส่งอีกเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น!
“มหาจักรพรรดิยุทธ์……แล้วการบรรลุเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์มันจะง่ายเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?”หัวหน้าเผ่าจี้ถอนหายใจแล้วพูด
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวจึงดึงความคิดจากความทรงจำกลับมาในชีวิตจริง อมยิ้มพลางพูด: “ข้ามีสมบัติที่มีความลึกลับและมหัศจรรย์ของเกณฑ์แฝงซ่อนอยู่หนึ่งชิ้น หากหัวหน้าเผ่าได้รับการตระหนักรู้จากสมบัติชิ้นนี้ เชื่อว่าน่าจะสามารถทำให้ท่านบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้เลยขอรับ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็หยิบลูกแก้วความเป็นตายออกมา สมบัติที่กลายมาจากเศษกงล้อวัฏจักรธรรม มีเกณฑ์วัฏสงสารที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนแฝงซ่อนอยู่ เกณฑ์วัฏสงสารเป็นพลังแห่งเกณฑ์ชั้นยอด มาตรแม้นว่าไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนได้รับประโยชน์อย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว
เมื่อเห็นหลัวซิวหยิบอัญเกณฑ์ออกมาอีกหนึ่งชิ้น พูดได้เลยว่าหัวหน้าเผ่าจี้ทั้งประหลาดใจทั้งสุขใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้หลัวซิวก็มอบดอกถานฮวาเก้ากลีบที่มีกฎเวลาแฝงซ่อนอยู่ให้เผ่าจี้แล้ว ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาตระหนักรู้กฎเวลามาโดยตลอด ผลการฝึกตนพัฒนาขึ้นไม่น้อย แต่ก็ยังห่างจากการบรรลุสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกหนึ่งก้าวตลอดมา
ปัจจุบันมีอัญเกณฑ์เพิ่มมาอีกนึ่งชิ้น หากนำทั้งสองสิ่งผสมผสานกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เช่นนั้นความมั่นใจในการบรรลุสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ผู้อาวุโสทั้งห้าของเผ่าจี้ก็ต่างตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง หากหัวหน้าเผ่าจี้สามารถบรรลุสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ละก็ เช่นนั้นเผ่าจี้ถึงจะถือว่ามีรากฐานในการยืนหยัดอยู่ในมหาโลกาพันสามได้อย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องเอามหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมินั่นมาใส่ใจได้โดยสมบูรณ์
“ผู้อาวุโสทุกท่านอย่าดีใจเร็วเกินไป จักสามารถบรรลุได้หรือไม่นั้น ยังต้องดูก่อนว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาของตัวหัวหน้าเผ่าเองมีเพียงพอหรือไม่ มีโอกาสและโชคนั้นแล้วหรือไม่”
……
ออกมาจากตำหนักใหญ่เผ่าจี้ ผู้อาวุโสทั้งห้าจึงประกาศให้ทราบว่าหัวหน้าเผ่าได้ปิดขังอย่างเป็นทางการ ส่วนหลัวซิวก็มาถึงสถานที่ฝึกตนของตระกูลเทพสงครามเช่นกัน
เขานำหลี่ยู่ เย่ห้าวหรานและหลี่เฟยเฉินปล่อยออกมาจากตำหนักวัฏสงสาร เงื่อนไขการฝึกตนที่ดีเลิศของแดนปริศนาเผ่าจี้ทำให้พวกเขาทั้งประหลาดใจและมีความสุข
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลเทพสงครามล้วนฝึกตนอยู่ในมหาค่ายสีมาเพลาอย่างขยันขันแข็ง ตระกูลของพวกเขาเป็นชนชาติที่กำเนิดมาเพื่อสงครามโดยเฉพาะ หากเอาแต่ตบะอย่างเดียว มันกลับจะเป็นการกลบฝังพรสวรรค์ของตระกูลพวกเขาอยู่ใต้ดิน
ในแต่ละยุคในอดีต การกำเนิดผู้แข็งแกร่งทุกคนในตระกูลเทพสงคราม ล้วนเติบโตมาจากการสู้รบและการเข่นฆ่าที่นับไม่ถ้วน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าหากตระกูลเทพสงครามอยากเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ก็จำเป็นต้องประสบการล้างบาปจากเลือดสดและไฟสงคราม
ในอดีต ศักยภาพของตระกูลเทพสงครามอ่อนแอมาก ๆ แม้แต่การเอาชีวิตรอดในมหาโลกายอดอัมพรยังทำได้ยากเลย เพราะฉะนั้นจึงทำได้เพียงหดอยู่ในกระดองอย่างแดนปริศนาเผ่าจี้
แต่ปัจจุบันหลังจากมีสภาพแวดล้อมและทรัพยากรการฝึกตนที่หลัวซิวจัดเสนอให้ สามารถพูดได้เลยว่าตระกูลเทพสงครามได้เปลี่ยนโฉมหน้าที่ใหม่เอี่ยม ผลการฝึกตนศักยภาพของคนทั้งตระกูลล้วนมีการเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ท่านชาย!”
ขณะที่หลัวซิวกลับมา ซิงเฉินก็หยุดการฝึกตนพอดี จึงทำความเคารพให้เขาอย่างเคารพนอบน้อม
“ดีมาก อยู่ในแดนมกุฎเทพขั้นสูงแล้ว ใช้เวลาอีกไม่นานก็สามารถทลายสู่แดนจ้าวมหาเทพแล้ว”
หลอมรวมกับพลังและเลือดหยดหนึ่งของบรรพบุรุษเทพสงคราม ทำให้ศักยภาพของซิงเฉินได้รับการขุดคุ้ยอย่างมาก ในบรรดาผู้คนตระกูลเทพสงครามทั้งหมด เขาเป็นผู้ที่มีการพัฒนามากที่สุด
นอกจากซิงเฉินแล้ว ผลการฝึกตนทั่วไปของคนนับแสนในตระกูลก็บรรลุถึงระดับราชาเทพเช่นกัน ผู้อาวุโสสิบกว่าคนก็ต่างบรรลุถึงแดนมกุฎเทพแล้ว ผู้ที่ผลการฝึกตนสูงสุดบรรลุถึงแดนมกุฎเทพขั้น 4 แล้ว