“ผู้น้อยไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยขอรับ”ลู่จื่อโม่ตอบกลับอย่างเคารพนอบน้อม
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ?”หลัวซิวขมวดคิ้วลง ถึงแม้ลู่จื่อโม่จะปกปิดได้แนบเนียนมาก ๆ แต่หลัวซิวก็สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปในเสี้ยววินาทีนั้นอยู่ดี
แสดงว่าลู่จื่อโม่นี่ต้องรู้จักสมญานามจ้าวมหาเทพแสงดาวแน่นอน ทว่าเหตุใดเขาจึงต้องโกหกด้วยล่ะ?
เมื่อลองใคร่ครวญดูดี ๆ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใด อดีตตระกูลลู่เคยเป็นตระกูลจ้าวมหาเทพในมหาโลกะแสงดาว ถึงแม้จะไม่ถือเป็นกองกำลังใหญ่ชั้นยอด แค่ก็ถือเป็นกองกำลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่ มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ตระกูลลู่เสื่อมทรุดลง หากลู่จื่อโม่นี่คือลูกหลานของตระกูลลู่ เขาต้องกังวลว่าตนต้องมุ่งคิดในทางไม่ดีแน่นอน เพราะฉะนั้นถึงได้ปฏิเสธ
“เมื่อครู่ข้าได้ยินคนดังกล่าวบอกให้เจ้าส่งเคล็ดแสงดาวออกไป เจ้าส่งเคล็ดแสงดาวออกมาให้ข้าดูหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลู่จื่อโม่จึงกัดฟันแน่น เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าคนดังกล่าวแข็งแกร่งกว่าสวี่จงหยิงนั่นมาก ๆ เขาไม่มีพื้นที่ที่จะปฏิเสธได้เลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหยิบม้วนหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของ ขณะที่ลู่จื่อโม่หยิบม้วนหยกออกมา ตัวสำนึกของหลัวซิวก็ทำลายตัวต้องห้ามที่อยู่บนม้วนหยกโดยตรง และตรวจสอบเนื้อหาที่บันทึกอยู่ภายในแล้ว
เคล็ดแสงดาวนี้เป็นวรยุทธ์วิชาหนึ่งจริง ๆ อีกทั้งยังเป็นวรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพด้วย หากแบ่งวรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพออกเป็นระดับบนกลางล่าง เช่นนั้นสามารถจัดวรยุทธ์นี้ให้เป็นวรยุทธ์ระดับสูงได้เลย
แต่หลัวซิวกลับพบว่าเคล็ดแสงดาวนี้แตกต่างจากเคล็ดเต๋าแสงดาวมากเกินไป เคล็ดเต๋าแสงดาวเป็นวรยุทธ์ที่ตระกูลลู่อนุมานขึ้นมาโดยอ้างอิงจากเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า ซึ่งเป็นวรยุทธ์จ้าวมหาเทพชั้นยอด นอกจากไม่มีวิชาจิตในการบรรลุเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว ในด้านอื่น ๆ ของมันประณีตสวยวิจิตรกว่าวรยุทธ์จักรพรรดิเทพส่วนใหญ่มาก ๆ แต่ทว่าหลัวซิวกลับค้นพบจุดแปลกประหลาดที่ละเอียดมาก ๆ นั่นก็คือเคล็ดแสงดาวที่ลู่จื่อโม่ส่งมานั้น สามารถพูดได้เลยว่าเป็นรุ่นย่อของเคล็ดเต๋าแสงดาวซึ่งนี่ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าลู่จื่อโม่นี่คือผู้สืบทอดตระกูลลู่ที่เขาต้องการตามหา
หลัวซิวไม่ได้ยื่นมือออกไปรับม้วนหยกมา เขาโบกมือแล้วพูดว่า: “ตระกูลลู่เสื่อมทรุดลงถึงขั้นนี้แล้วหรือ? เคล็ดเต๋าแสงดาวที่สืบทอดในตระกูลขาดการสืบสานแล้วหรือ?”
เมื่อลู่จื่อโม่ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา เขาเข้าใจขึ้นมากะทันหันว่าฝ่ายตรงข้ามต้องสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปในเมื่อครู่นี้ของตนแน่นอน มิเช่นนั้นคนดังกล่าวไม่มีทางพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
อีกทั้งบนวรยุทธ์ม้วนหยกที่เขาเอาออกมานั้นมีตัวต้องห้ามอยู่ คนดังกล่าวยังไม่ทันรับไปเลย ก็สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้แล้วหรือ? แล้วเขารู้จักเคล็ดเต๋าแสงดาวได้อย่างไร?
เนื่องจากอารมณ์ที่ตื่นเต้นและสภาพจิตใจที่ประหม่า เห็นได้ชัดเจนเลยว่าร่างกายของลู่จื่อโม่สั่นเทาเล็กน้อย เขาก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับหลัวซิวด้วยซ้ำ
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเจ้า และไม่ได้มุ่งหวังในทางไม่ดีต่อเจ้าด้วย ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ารู้จักจ้าวมหาเทพแสงดาวหรือไม่?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“ข้า……”ลู่จื่อโม่กำหมัดแน่น เขารู้อยู่ว่าตัวเองปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมาเทหมดหน้าตักแล้วพูด: “จ้าวมหาเทพแสงดาวคือบรรพบุรุษของข้า เป็นหนึ่งในสามจ้าวมหาเทพของตระกูลลู่ของข้าครั้นเมื่อตระกูลเรารุ่งเรืองที่สุด!”
ขณะที่ยอมรับตัวตนและความเป็นมาของตนเอง มีความแน่วแน่เป็นประกายอยู่ในแววตาของเขา ยิ่งกว่านั้นคือเขาวางแผนที่จะเผชิญหน้ากับความตายแล้ว
หลัวซิวหัวเราะ เขาก็คิดว่าการที่จะตามหาคนรุ่นหลังของตระกูลลู่นั้นต้องทุ่มแรงเยอะมาก ๆ แต่ไม่นึกเลยว่าจะพบเจอง่ายขนาดนี้ นี่จึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก ๆ
“นอกจากเจ้าแล้ว ตระกูลลู่ยังมีคนอื่น ๆ อีกหรือไม่?”หลัวซิวถามอีกครั้ง
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็มีความเคียดแค้นกระพริบผ่านไปในแววตาของลู่จื่อโม่ เขาใช้นิ้วชี้ไปทางสวี่จงหยิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
“คนอื่นที่เหลือล้วนถูกมันฆ่าตายหมดแล้ว มันตามสะกดรอยข้ามาตลอดทางก็เพื่ออยากครอบครองวรยุทธ์ในตระกูลลู่ของข้า หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าข้าจะทำลายม้วนหยกทิ้ง มันคงสังหารข้าไปตั้งนานแล้ว”